วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

รีวิวทริปท่องเที่ยวกาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน # Day 1



          ผมจำได้ว่า ผมยังมีคูปองท่องเที่ยวที่ซื้อเมื่อปีที่แล้วจากบริษัททัวร์แห่งหนึ่งหลงเหลืออยู่ ซึ่งมันจะหมดอายุในเดือน มิ.ย. ที่จะถึงนี้ ถ้าจะไม่ไปเลย ก็เสียดายเงินที่ซื้อมา เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว ผมจึงชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวดีกว่า จะได้ถือโอกาสใช้คูปองไปด้วยเลย จุดหมายปลายทางของผมก็อยู่ที่่ กาญจนบุรี ครับ

          หลังจากที่ได้จุดหมายปลายทางแล้ว ผมก็ได้ Search หาข้อมูลในเน็ตว่า มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างใน กาญจนบุรี ซึ่งที่หลัก ๆ บางที่ ผมเคยไปมาแล้วเช่นกัน อย่างเช่น สะพานข้ามแม่น้ำแคว ทางรถไฟสายมรณะ หรือ ช่องเขาขาด

          ทริปนี้ผมไปกัน 3 วัน 2 คืน มีเด็ก 3 ผู้ใหญ่ 9 ต้องบอกเลยครับ สมัยนี้ไปเที่ยวต่างจังหวัด 2 วัน 1 คืน มันดูเร็วเกินไปมากครับ คำว่า เร็วในที่นี้ผมหมายถึงว่า กว่าจะแวะเที่ยวระหว่างทาง กว่าจะเดินทางถึงที่พัก ก็หมด 1 วันแล้วครับ ตอนเช้าวันที่่ 2 ตื่นมาทานข้าวเช้า นั่งสักแป๊บ ก็เตรียมเดินทางกลับล่ะ ผมเลยคิดว่ามันดูเร็วไปครับ แทนที่วันที่ 2 เราจะได้อยู่เที่ยวในจังหวัดที่เราไปให้เต็มที่สักหน่อย ทริปนี้ผมเลยขอเป็นแบบ 3 วัน 2 คืน ดีกว่าครับ

          พอถึงวันเดินทาง ในตอนแรก ผมกะว่าจะออกจาก กรุงเทพฯ ประมาณ 8 โมงเช้า แต่ทำไปทำมา เพื่อนผมคนหนึ่ง (คนที่ชอบกินชาบูนั่นแหละครับ หาอ่านได้ในตอนชาบู อินดี้นะครับ ^^) ดันติดงานตอนเช้า คือต้องไปทำงานตอนเช้าประมาณ 2-3 ชั่วโมง ไปเข้างานตอน 6 โมงเช้า กว่าจะเสร็จงานก็ 9 โมงเช้า กว่าจะถึงที่นัดหมาย กว่าจะออกรถ ก็ปาไป 9 โมงครึ่งล่ะครับ

          อ้อ!! ลืมบอกไปครับ ทริปนี้ผมเช่ารถตู้ไปกันนะครับ เพราะโดยส่วนมากแล้ว ผมไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน ถ้าไปกันเยอะผมก็จะเช่ารถตู้ไปกันครับ เพราะว่าสะดวกกว่า และไม่ต้องขับรถกันเองด้วยครับ

          ผมไปถึงเมืองกาญ ก็ประมาณเที่ยงได้แล้วครับ แวะกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านข้างทาง ร้านจะอยู่เลยจากสุสานพันธมิตรมาไม่ไกลครับ เป็นร้านธรรมดา ๆ เลยครับ ส่วนมากที่ผมสั่งกันจะเป็นเมนูเป็ด อย่างเช่น กระเพราเป็ด ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ฯ กินกันทั้งหมด 12 คน เก็บตังค์มาทั้งหมด 900 กว่าบาท ครับ ถือว่าราคาค่อนข้างแพงครับ ส่วนรสชาติก็ทั่ว ๆ ไปครับ

          หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะไปแวะเที่ยวที่แรกกันแล้วครับ โดยในตอนแรกผมกะว่าจะไปสัก 2 ที่ ก่อนจะแวะเข้าที่พัก แต่เนื่องจากเวลาไม่พอ จึงได้แวะเที่ยวที่เดียวครับ ซึ่งที่นั่นก็คือ "เมืองมัลลิกา รศ.124 ครับ"

ประตูทางเข้าเมืองมัลลิกา
       
รถลากที่จอดอยู่ที่หน้าประตูเมือง


          เมืองมัลลิกา จะเสียค่าบัตรผ่านประตู ถ้าเป็นผู้ใหญ่ จะอยู่ที่คนล่ะ 200 บาท ถ้าเด็กสูงไม่เกินที่ทางสถานที่ตั้งไว้ก็จะเข้าฟรีครับ

          เมืองมัลลิกา จะเป็นเมืองที่จำลองจากยุคสมัยรัชกาลที่ 5 นะครับ ก่อนที่เราจะเข้าเมือง ท่านใดสนใจที่แต่งตัวตามแบบสมัยรัชกาลที่ 5 ก็จะมีเสื้อผ้าให้บริการอยู่นะครับ แต่จะมีค่าใช้จ่าย ผู้หญิงชุดโจนกระเบน และสไป จะอยู่ที่ 200 บาท ถ้าเป็นเสื้อแบบราชปะแตน น่าจะอยู่ที่ 300 บาท ครับ ส่วนผู้ชายชุดธรรมดาจะอยู่ที่ 100 บาท ราชปะแตนชาย จะอยู่ที่ 300 บาท ครับ

          พอเข้ามาถึงภายในเมืองจะใช้เป็นเงินแบบรัชสมัยรัชกาลที่ 5 นะครับ เป็นเงินแบบโบราณ ที่มีรูตรงกลางอ่ะครับ สามารถแลกได้บริเวณก่อนทางเข้าเมือง หรือในเมืองก็จะมีจุดบริการให้แลกเงินเช่นเดียวกันครับ โดยถ้าแลกเป็นพวง จะมีราคาประมาณ 200 บาท ครับ สกุลเงินที่ใช้ภายในเมืองจะเป็น สตางค์ ร้านค้าต่าง ๆ จะมีบอกราคาเป็นสตางค์ไว้อย่างชัดเจน


ขนมไทย ทองเอก

ขนมไทย เสน่ห์จัน

ขนมไทย จ่ามงกุฎ


ขนมลืมกลืน

ขนมเรไร

หมูสะเต๊ะชวา


          ของกินก็จะมีหลากหลายนะครับ ขนมแบบโบราณก็มีครับ หรือจะเป็นหมูสะเต๊ะ ก็มีเช่นกันครับ ราคาก็จะคิดเป็นสตางค์เช่นกัน

          ขนมทองเอก ขนมเสน่ห์จัน และขนมจ่ามงกุฎ จะมีราคาอยู่ที่ชิ้นล่ะ 2 สตางค์ (1 สตางค์ = 5 บาท) รสชาติอร่อยดีครับ แต่เสียตรงที่ตัวแป้งของขนมทั้ง 3 ชนิด จะติดฟันและติดเพดานปากหน่อย แต่ผมไม่ทราบว่าที่อื่นจะติดฟันหรือเพดานปากแบบนี้หรือเปล่านะครับ เพราะตั้งแต่เกิดมา ผมก็เพิ่งเคยกินเช่นเดียวกันครับ

          ขนมเรไร และ ขนมลืมกลืน จะมีราคาอยู่ที่ชิ้นล่ะ 1 สตางค์ ขนมลืมกลืนจะมีรสชาติทั่ว ๆ ไปครับ มันจะคล้าย ๆ วุ้น ส่วนขนมเรไรจะเหมือนเส้นบะหมี่ จัดให้กองเป็นกลม ๆ เวลากินจะราดด้วยกะทิและโรงด้วยงาขาว รสชาติจะเหมือนกันขนมคองแคงที่ราดกะทิครับ

          ส่วนหมูสะเต๊ะชวา จะอยู่ที่ไม้ล่ะ 3 สตางค์ แต่ผมไม่ได้ลองชิมครับ

ป้ายบอกชื่อธนาคารและสาขา

พนักงานธนาคารครับ


          นอกจากร้านขายขนมหรืออาหารแล้ว ยังมีธนาคารด้วยนะครับ เป็นธนาคารสยามกัมมาจล หรือก็คือธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบันครับ ถ้าใครไม่ได้แลกเงินเข้ามา สามารถแลกได้ที่ธนาคารได้เลยครับ ซึ่งตัวธนาคารเอง ก็มีระบุด้วยครับว่าเป็นสาขาไหน แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดได้ดีครับ

มีจุดบริการน้ำเปล่าฟรีให้ด้วยครับ

ร้านนวดแผนไทยมีตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 นะครับ อิอิ

ข้าวต้มมัดในเมืองมัลลิกา

ขนมกล้วยครับ

เหล้าอุ

บรรยากาศภายในเมืองมัลลิกา

ลักษณะคล้าย ๆ สะพานร้องไห้ตรงสะพานผ่านฟ้าเลยครับ

          ภายในเมืองมัลลิกา ยังมีที่สำหรับรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ด้วยนะครับ จะเป็นชั้น 2 ของตัวบ้าน จะเป็นสถานที่กว้าง ๆ ตรงกลางจะเป็นลานกว้าง ๆ บุฟเฟ่ต์จะเป็นแบบขันโตกนะครับ แต่ผมไม่ได้อยู่กิน แต่ได้สอบถามพนักงานว่า "ถ้าหมดสามารถเติมได้ไหม" พนักงานตอบว่า "ได้" งานอาหารค่ำจะเริ่มเวลาประมาณ 18.00 น. ถึง 20.00 น. ค่าบัตรทานบุฟเฟ่ต์ประมาณ 550 บาท ถ้ารวมค่าเข้าเมืองด้วย ก็จะเป็น 750 บาท ครับ

ลานกว้าง ๆ สำหรับการแสดงในช่วงมื้ออาหารค่ำ

ที่รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์

ที่รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์

          ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ อย่างที่ได้พิมพ์ไปแล้วว่า ตรงกลางจะเป็นลานกว้าง ๆ คนที่รับประทานอาหารก็จะนั่งอยู่รอบ โต๊ะก็จะเป็นแบบในภาพที่ผมลงเลยครับ ส่วนลานกว้างตรงกลาง ก็จะมีการแสดง ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นการแสดง การฟ้อนรำ เปรียบเสมือนเราเป็นอาคันตุกะมาเยี่ยมเมืองสยามเลยครับ ซึ่งผมว่า บรรยากาศตอนกลางคืนน่าจะสวยครับ

ภาพบรรยากาศเมืองมัลลิกาในมุมสูง

ภาพบรรยากาศเมืองมัลลิกาในมุมสูง

ภายเมืองมัลลิกาในมุมสูง

ภาพเมืองมัลลิกาในมุมสูง


          ในเมืองมีการแบ่งออกเป็นโซน ๆ ได้อย่างชัดเจน จะมีส่วนที่เป็นการจำลองการทำนา และในส่วนของโรงครัวด้วยเช่นกัน

          ในสวนของโรงครัวก็จะมีการตำข้าว การโม่ข้าว การร่อนข้าว ซึ่งเราสามารถลองไปเรียนรู้และลองทำได้ครับ ป้า ๆ ที่นั่นใจดีมากครับ ในส่วนของแม่น้ำลำคลอง ก็จะมีคนพายเรือขายของ ซึ่งจะได้บรรยากาศแบบชนบท หรือตลาดน้ำดีครับ

ภาพบรรยากาศในโรงครัว

การร่อนข้าวในโรงครัว

ตำข้าวกันหน่อย
ภาพจำลองการทำนา เป็นต้นขาวจริงนะครับ

          ถือว่าคุ้มค่าครับที่ได้มาที่เมืองมัลลิกา ใครที่ชอบทางประวัติศาสตร์ ผมว่าที่นี่ได้เลยครับ หรือว่าคนที่ชอบถ่ายรูป ผมก็แนะนำเช่นเดียวกันครับ ตามแพลนที่ผมวางไว้ มีอีกที่ ๆ ผมอยากไป คือ น้ำตกเอราวัณ ซึ่งผมยังไม่เคยไป แต่ดูเวลาตอนออกจากเมืองมัลลิกา ก็ 4 โมงเย็นแล้วครับ น้ำตกเอราวัณผมจึงเป็นอันตกไป

          หลังจากออกจากเมืองมัลลิกา ผมได้ตรงไปที่ ที่พักที่ได้จองไว้เลย นี่เพิ่งวันแรกเองนะครับ มาได้ที่เดียวก็หมดวันแล้วครับ ตอนต่อไป ผมจะมารีวิว วันที่ 2 พร้อมกับที่พักที่ผมไปพักครับ ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะครับ



วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ร้าน "ทูเดย์ สเต็ก" ที่ตลาดสามย่าน


          ในคราวที่แล้วผมได้เกริ่นนำไว้ว่า หลังจากที่ผมได้เล่นสงกรานต์เสร็จ ขากลับผมได้แวะทานสเต็ก คราวนี้ผมจะมารีวิวสเต็กที่ผมไปทานมากันครับ

          สเต็กที่ผมไปทานนี้ อยู่ไม่ไกลจากถนนสีลมสักเท่าไหร่ ชื่อร้านสเต็กมีชื่อว่า "ทูเดย์ สเต็ก" ซึ่งอยู่ที่ตลาดสามย่านครับ

          ตลาดสามย่านหาได้ง่าย ๆ ครับ อยู่ในซอยเดียวกับ I'm Park ตัวตลาดสามย่านจะเป็นอาคารสีแดง สะดุดตา ด้านล่างจะเป็นตลาดสด ส่วนชั้น 2 จะเป็นร้านอาหาร ร้านอาหารที่นี่ส่วนมากจะเป็นร้านสเต็กเสียเป็นส่วนใหญ่ (สมมติว่า มีร้านอาหาร 10 ร้าน ทุกร้านก็จะขายสเต็กเป็นเมนูหลักแทบทุกร้าน) แต่ก็จะมีอาหารตามสั่งแซมเข้าไปในเมนูสเต็กด้วยเช่นกัน

          ร้านทูเดย์ สเต็ก ค่อนข้างเป็นร้านใหญ่ มีทั้งในส่วนห้องแอร์ และ ไม่แอร์ แต่ผมจะนิยมนั่งในส่วนด้านนอกที่ไม่มีแอร์มากกว่า เนื่องจากว่า ผมเคยนั่งในส่วนของห้องแอร์ แล้วเพื่อนผมสั่ง สเต็กมิกกิวกะทะร้อน ซึ่งควันคลุ้งมาก หายใจกันแทบไม่ออก ตั้งแต่นั่นเป็นต้นมา ยามที่ผมมาทานสเต็กที่ ทูเดย์ สเต็ก ผมจึงไม่นั่งในห้องแอร์อีกเลย

          เมนูสเต็กของที่นี่ค่อนข้างมีให้เลือกเยอะ เฉพาะสเต็กก็มีให้เลือกเกือบ 100 เมนูแล้วครับ มีให้เลือกทั้ง หมู ไก่ เนื้อ ปลา (มีกุ้งบ้างเป็นบางเมนู) มีทั้งย่าง และ ทอด เรียกได้ว่า ครบครันกันเลยทีเดียว

          นอกจากเมนูสเต็กแล้ว อาหารตามสั่งทางร้านก็มีให้บริการเช่นเดียวกัน อาหารตามสั่งก็มีให้เลือกมากมายหลายรายการเช่นเดียวกัน

          ข้าวผัดอเมริกัน ข้าวผัดสัปปะรด ฯ ก็มีให้ลูกค้าเลือก ซึ่งเมนูข้าวผัดอเมริกัน หรือ สเต็ก เราสามารถ Mix and Match กันได้ตามใจลูกค้าอย่างเรา ๆ เลยครับ

          ซึ่งตัวผมเองก็มักจะ Mix ข้าวผัดอเมริกัน โดยการเปลี่ยนจากไก่ทอด เป็น ไก่ย่าง แทน หรือว่าครั้งไหนที่ไปทาน แล้วค่อนข้าวหิว ก็จะสั่งสเต็กแต่เพิ่มข้าว ก็ได้เช่นกันครับ

          นอกจากอาหารจำพวก สเต็ก หรือ ข้าว แล้ว อาหารจำพวกเส้น ก็มีนะครับ มีทั้งเส้นสปาร์เก็ตตี้ และมักกะโรนี แต่ว่าเส้นเพนเน่ไม่มีนะครับ

          เมนูที่ผมจะแนะนำ ถ้าเป็นผู้ชาย ในกรณีที่หิวมาก มิกกิวจาน ก็จะเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างดีครับ เพราะให้เนื้อหลายชิ้นอยู่ครับ บวกกับสลัด เฟร้นฟราย และขนมปัง อีก มีแน่นแน่ครับ

          อีกเมนูที่อยากจะแนะนำก็คือ สเต็กทูเดย์ ครับ ในจานก็จะมีทั้งไก่ทอด สปาร์เก็ตตี้ สลัด และขนมปัง ให้

          อ้อ!! ผมลืมบอกไปครับ เมนู มิกกิว มีทั้งแบบ มิกกิวจาน และ มิกกิวกะทะร้อนนะครับ ถ้ากินแบบกะทะร้อน ก็จะควันขโมงนะครับ และรู้สึกว่า แบบกะทะร้อนจะแพงกว่าแบบจานด้วยครับ

          หรือถ้ามาแบบเป็นกลุ่ม 3 - 4 คน ก็จะมีเมนู ทูเดย์รวม เป็นสเต็กจานใหญ่ ถ้าเป็นผู้ชาย น่าจะทานได้ประมาณ 3 คน ถ้าเป็นผู้หญิง อาจจะได้ 4 - 5 คน เลยครับ

                                                           


          ราคาของทางร้าน ทูเดย์ สเต็ก จะไม่ค่อยแพงมากนะครับ โดยเฉลี่ยจานหนึ่งไม่ถึง 100 แต่ปริมาณที่ได้ก็คุ้มค่ากับราคา ส่วนรสชาติก็ตามราคาเช่นกันครับ

          ถ้าคุณผู้อ่านทุกท่าน มีโอกาสได้แวะไปแถวสามย่าน หรือ คนที่อยู่แถวสามย่านอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยลองไปทาน ก็ลองไปชิมกันดูได้นะครับ ถ้าเน้นอิ่มผมว่าตอบโจทย์เลยครับ