ผมจำได้ว่า ผมยังมีคูปองท่องเที่ยวที่ซื้อเมื่อปีที่แล้วจากบริษัททัวร์แห่งหนึ่งหลงเหลืออยู่ ซึ่งมันจะหมดอายุในเดือน มิ.ย. ที่จะถึงนี้ ถ้าจะไม่ไปเลย ก็เสียดายเงินที่ซื้อมา เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว ผมจึงชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวดีกว่า จะได้ถือโอกาสใช้คูปองไปด้วยเลย จุดหมายปลายทางของผมก็อยู่ที่่ กาญจนบุรี ครับ
หลังจากที่ได้จุดหมายปลายทางแล้ว ผมก็ได้ Search หาข้อมูลในเน็ตว่า มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างใน กาญจนบุรี ซึ่งที่หลัก ๆ บางที่ ผมเคยไปมาแล้วเช่นกัน อย่างเช่น สะพานข้ามแม่น้ำแคว ทางรถไฟสายมรณะ หรือ ช่องเขาขาด
ทริปนี้ผมไปกัน 3 วัน 2 คืน มีเด็ก 3 ผู้ใหญ่ 9 ต้องบอกเลยครับ สมัยนี้ไปเที่ยวต่างจังหวัด 2 วัน 1 คืน มันดูเร็วเกินไปมากครับ คำว่า เร็วในที่นี้ผมหมายถึงว่า กว่าจะแวะเที่ยวระหว่างทาง กว่าจะเดินทางถึงที่พัก ก็หมด 1 วันแล้วครับ ตอนเช้าวันที่่ 2 ตื่นมาทานข้าวเช้า นั่งสักแป๊บ ก็เตรียมเดินทางกลับล่ะ ผมเลยคิดว่ามันดูเร็วไปครับ แทนที่วันที่ 2 เราจะได้อยู่เที่ยวในจังหวัดที่เราไปให้เต็มที่สักหน่อย ทริปนี้ผมเลยขอเป็นแบบ 3 วัน 2 คืน ดีกว่าครับ
พอถึงวันเดินทาง ในตอนแรก ผมกะว่าจะออกจาก กรุงเทพฯ ประมาณ 8 โมงเช้า แต่ทำไปทำมา เพื่อนผมคนหนึ่ง (คนที่ชอบกินชาบูนั่นแหละครับ หาอ่านได้ในตอนชาบู อินดี้นะครับ ^^) ดันติดงานตอนเช้า คือต้องไปทำงานตอนเช้าประมาณ 2-3 ชั่วโมง ไปเข้างานตอน 6 โมงเช้า กว่าจะเสร็จงานก็ 9 โมงเช้า กว่าจะถึงที่นัดหมาย กว่าจะออกรถ ก็ปาไป 9 โมงครึ่งล่ะครับ
อ้อ!! ลืมบอกไปครับ ทริปนี้ผมเช่ารถตู้ไปกันนะครับ เพราะโดยส่วนมากแล้ว ผมไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน ถ้าไปกันเยอะผมก็จะเช่ารถตู้ไปกันครับ เพราะว่าสะดวกกว่า และไม่ต้องขับรถกันเองด้วยครับ
ผมไปถึงเมืองกาญ ก็ประมาณเที่ยงได้แล้วครับ แวะกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านข้างทาง ร้านจะอยู่เลยจากสุสานพันธมิตรมาไม่ไกลครับ เป็นร้านธรรมดา ๆ เลยครับ ส่วนมากที่ผมสั่งกันจะเป็นเมนูเป็ด อย่างเช่น กระเพราเป็ด ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ฯ กินกันทั้งหมด 12 คน เก็บตังค์มาทั้งหมด 900 กว่าบาท ครับ ถือว่าราคาค่อนข้างแพงครับ ส่วนรสชาติก็ทั่ว ๆ ไปครับ
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะไปแวะเที่ยวที่แรกกันแล้วครับ โดยในตอนแรกผมกะว่าจะไปสัก 2 ที่ ก่อนจะแวะเข้าที่พัก แต่เนื่องจากเวลาไม่พอ จึงได้แวะเที่ยวที่เดียวครับ ซึ่งที่นั่นก็คือ "เมืองมัลลิกา รศ.124 ครับ"
|
ประตูทางเข้าเมืองมัลลิกา |
|
รถลากที่จอดอยู่ที่หน้าประตูเมือง |
เมืองมัลลิกา จะเสียค่าบัตรผ่านประตู ถ้าเป็นผู้ใหญ่ จะอยู่ที่คนล่ะ 200 บาท ถ้าเด็กสูงไม่เกินที่ทางสถานที่ตั้งไว้ก็จะเข้าฟรีครับ
เมืองมัลลิกา จะเป็นเมืองที่จำลองจากยุคสมัยรัชกาลที่ 5 นะครับ ก่อนที่เราจะเข้าเมือง ท่านใดสนใจที่แต่งตัวตามแบบสมัยรัชกาลที่ 5 ก็จะมีเสื้อผ้าให้บริการอยู่นะครับ แต่จะมีค่าใช้จ่าย ผู้หญิงชุดโจนกระเบน และสไป จะอยู่ที่ 200 บาท ถ้าเป็นเสื้อแบบราชปะแตน น่าจะอยู่ที่ 300 บาท ครับ ส่วนผู้ชายชุดธรรมดาจะอยู่ที่ 100 บาท ราชปะแตนชาย จะอยู่ที่ 300 บาท ครับ
พอเข้ามาถึงภายในเมืองจะใช้เป็นเงินแบบรัชสมัยรัชกาลที่ 5 นะครับ เป็นเงินแบบโบราณ ที่มีรูตรงกลางอ่ะครับ สามารถแลกได้บริเวณก่อนทางเข้าเมือง หรือในเมืองก็จะมีจุดบริการให้แลกเงินเช่นเดียวกันครับ โดยถ้าแลกเป็นพวง จะมีราคาประมาณ 200 บาท ครับ สกุลเงินที่ใช้ภายในเมืองจะเป็น สตางค์ ร้านค้าต่าง ๆ จะมีบอกราคาเป็นสตางค์ไว้อย่างชัดเจน
|
ขนมไทย ทองเอก |
|
ขนมไทย เสน่ห์จัน |
|
ขนมไทย จ่ามงกุฎ |
|
ขนมลืมกลืน |
|
ขนมเรไร |
|
หมูสะเต๊ะชวา |
ของกินก็จะมีหลากหลายนะครับ ขนมแบบโบราณก็มีครับ หรือจะเป็นหมูสะเต๊ะ ก็มีเช่นกันครับ ราคาก็จะคิดเป็นสตางค์เช่นกัน
ขนมทองเอก ขนมเสน่ห์จัน และขนมจ่ามงกุฎ จะมีราคาอยู่ที่ชิ้นล่ะ 2 สตางค์ (1 สตางค์ = 5 บาท) รสชาติอร่อยดีครับ แต่เสียตรงที่ตัวแป้งของขนมทั้ง 3 ชนิด จะติดฟันและติดเพดานปากหน่อย แต่ผมไม่ทราบว่าที่อื่นจะติดฟันหรือเพดานปากแบบนี้หรือเปล่านะครับ เพราะตั้งแต่เกิดมา ผมก็เพิ่งเคยกินเช่นเดียวกันครับ
ขนมเรไร และ ขนมลืมกลืน จะมีราคาอยู่ที่ชิ้นล่ะ 1 สตางค์ ขนมลืมกลืนจะมีรสชาติทั่ว ๆ ไปครับ มันจะคล้าย ๆ วุ้น ส่วนขนมเรไรจะเหมือนเส้นบะหมี่ จัดให้กองเป็นกลม ๆ เวลากินจะราดด้วยกะทิและโรงด้วยงาขาว รสชาติจะเหมือนกันขนมคองแคงที่ราดกะทิครับ
ส่วนหมูสะเต๊ะชวา จะอยู่ที่ไม้ล่ะ 3 สตางค์ แต่ผมไม่ได้ลองชิมครับ
|
ป้ายบอกชื่อธนาคารและสาขา |
|
พนักงานธนาคารครับ |
นอกจากร้านขายขนมหรืออาหารแล้ว ยังมีธนาคารด้วยนะครับ เป็นธนาคารสยามกัมมาจล หรือก็คือธนาคารไทยพาณิชย์ในปัจจุบันครับ ถ้าใครไม่ได้แลกเงินเข้ามา สามารถแลกได้ที่ธนาคารได้เลยครับ ซึ่งตัวธนาคารเอง ก็มีระบุด้วยครับว่าเป็นสาขาไหน แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดได้ดีครับ
|
มีจุดบริการน้ำเปล่าฟรีให้ด้วยครับ |
|
ร้านนวดแผนไทยมีตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 นะครับ อิอิ |
|
ข้าวต้มมัดในเมืองมัลลิกา |
|
ขนมกล้วยครับ |
|
เหล้าอุ
|
|
บรรยากาศภายในเมืองมัลลิกา |
|
ลักษณะคล้าย ๆ สะพานร้องไห้ตรงสะพานผ่านฟ้าเลยครับ |
ภายในเมืองมัลลิกา ยังมีที่สำหรับรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ด้วยนะครับ จะเป็นชั้น 2 ของตัวบ้าน จะเป็นสถานที่กว้าง ๆ ตรงกลางจะเป็นลานกว้าง ๆ บุฟเฟ่ต์จะเป็นแบบขันโตกนะครับ แต่ผมไม่ได้อยู่กิน แต่ได้สอบถามพนักงานว่า "ถ้าหมดสามารถเติมได้ไหม" พนักงานตอบว่า "ได้" งานอาหารค่ำจะเริ่มเวลาประมาณ 18.00 น. ถึง 20.00 น. ค่าบัตรทานบุฟเฟ่ต์ประมาณ 550 บาท ถ้ารวมค่าเข้าเมืองด้วย ก็จะเป็น 750 บาท ครับ
|
ลานกว้าง ๆ สำหรับการแสดงในช่วงมื้ออาหารค่ำ |
|
ที่รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ |
|
ที่รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ |
ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ อย่างที่ได้พิมพ์ไปแล้วว่า ตรงกลางจะเป็นลานกว้าง ๆ คนที่รับประทานอาหารก็จะนั่งอยู่รอบ โต๊ะก็จะเป็นแบบในภาพที่ผมลงเลยครับ ส่วนลานกว้างตรงกลาง ก็จะมีการแสดง ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นการแสดง การฟ้อนรำ เปรียบเสมือนเราเป็นอาคันตุกะมาเยี่ยมเมืองสยามเลยครับ ซึ่งผมว่า บรรยากาศตอนกลางคืนน่าจะสวยครับ
|
ภาพบรรยากาศเมืองมัลลิกาในมุมสูง |
|
ภาพบรรยากาศเมืองมัลลิกาในมุมสูง |
|
ภายเมืองมัลลิกาในมุมสูง |
|
ภาพเมืองมัลลิกาในมุมสูง |
ในเมืองมีการแบ่งออกเป็นโซน ๆ ได้อย่างชัดเจน จะมีส่วนที่เป็นการจำลองการทำนา และในส่วนของโรงครัวด้วยเช่นกัน
ในสวนของโรงครัวก็จะมีการตำข้าว การโม่ข้าว การร่อนข้าว ซึ่งเราสามารถลองไปเรียนรู้และลองทำได้ครับ ป้า ๆ ที่นั่นใจดีมากครับ ในส่วนของแม่น้ำลำคลอง ก็จะมีคนพายเรือขายของ ซึ่งจะได้บรรยากาศแบบชนบท หรือตลาดน้ำดีครับ
|
ภาพบรรยากาศในโรงครัว |
|
การร่อนข้าวในโรงครัว |
|
ตำข้าวกันหน่อย |
|
ภาพจำลองการทำนา เป็นต้นขาวจริงนะครับ |
ถือว่าคุ้มค่าครับที่ได้มาที่เมืองมัลลิกา ใครที่ชอบทางประวัติศาสตร์ ผมว่าที่นี่ได้เลยครับ หรือว่าคนที่ชอบถ่ายรูป ผมก็แนะนำเช่นเดียวกันครับ ตามแพลนที่ผมวางไว้ มีอีกที่ ๆ ผมอยากไป คือ น้ำตกเอราวัณ ซึ่งผมยังไม่เคยไป แต่ดูเวลาตอนออกจากเมืองมัลลิกา ก็ 4 โมงเย็นแล้วครับ น้ำตกเอราวัณผมจึงเป็นอันตกไป
หลังจากออกจากเมืองมัลลิกา ผมได้ตรงไปที่ ที่พักที่ได้จองไว้เลย นี่เพิ่งวันแรกเองนะครับ มาได้ที่เดียวก็หมดวันแล้วครับ ตอนต่อไป ผมจะมารีวิว วันที่ 2 พร้อมกับที่พักที่ผมไปพักครับ ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะครับ