วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รีวิว ทริปท่องเที่ยว กาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน # Day 2


          ต่อจากตอนที่แล้วนะครับ ที่ผมได้รีวิว "เมืองมัลลิกา" ไป หลังจากที่ผมออกจากเมืองมัลลิกา ผมก็ได้ตรงสู่ที่พัก จากเมืองมัลลิกาไปที่พักที่ผมจองไว้ ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ที่พักที่ผมจะพักคือที่ "ผึ้งหวาน รีสอร์ท ไทรโยคน้อย" ครับ

ผึ้งหวาน รีสอร์ท ไทรโยคน้อย


          ผึ้งหวาน รีสอร์ท ในจังหวัดกาญจนบุรี จะมีอยู่ 2 ที่ นะครับ มีที่ไทรโยคใหญ่ จะอยู่ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว จากสะพานข้ามแม้น้ำแควมาไม่เกิน 5 กิโล ครับ กับอีกที่หนึ่ง คือ ที่ไทรโยคน้อย จะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟน้ำตก หรือว่า น้ำตกไทรโยคน้อย ก็ไม่เกิน 5 กิโล เช่นเดียวกัน

          คูปองของผม สามารถใช้ได้ทั้ง 2 ที่นะครับ แต่ที่ผมเลือกที่ ผึ้งหวาน รีสอร์ท ไทรโยคน้อย ก็เพราะว่า ผมเคยมาพักที่นี้แล้ว 1 ครั้ง และก็ติดใจในบรรยากาศที่เงียบสงบและกว้างขวางของทางรีก สอร์ท บวกกับที่นี่มีกิจกรรมให้ทำค่อนข้างหลากหลาย ทั้ง ล่องแพ ขับรถบักกี้ ขี่จักรยาน หรือว่า กิจกรรมนันทนาการ สำหรับคนที่มาเป็นหมู่คณะ หรือว่าทางบริษัทพามาเที่ยว และต้องการทำกิจกรรมนันทนาการ ทางผึ้งหวาน รีสอร์ท ไทรโยคน้อย เค้าก็มีให้บริการเช่นกันครับ

          ห้องพักที่ผมได้ในคราวนี้ จะแตกต่างจากเมื่อครั้งที่ผมมาครั้งที่แล้ว เนื่องจากว่า ช่วงที่ผมไปเป็นวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ทำให้มีคนมาพักกันเต็มรีสอร์ท ซึ่กงห้องพักที่ผมได้คราวนี้ เป็นห้องพัก "บัวคูบัว"

          สภาพห้องพัก บ้านคูบัว ค่อนข้างเก่า มียุงและแมลงค่อนข้างเยอะ แต่พอเปิดประตูไล่ยุง แมลง และเปิดแอร์ สักพัก ก็หายหมดครับ ห้องน้องผมมีไส้เดือน ออกมาเดินเล่นด้วยครับ ดีนะครับไม่มีตุ๊กแกด้วย ไม่งั้น กรี๊ด!! กันลั่นห้อง สภาพบรรยากาศรอบห้องพัก ก็จะร่มรื่น ต้นไม้เยอะ แต่บางทีก็เหมือนกับว่า กำลังอยู่ในป่าเช่นกัน

          ครั้งที่แล้วที่ผมมาพัก ได้เป็นแบบ อาคารริมน้ำ ห้องกว่างขวาง บรรยากาศดีมาก เปิดระเบียงด้านหลังออกไป ก็จะเห็นวิวแม่น้ำไทรโยคน้อย นั่งดูแม่น้ำไทรโยคน้อยไหล พาทำให้จิตใจสงบดีครับ โดยรวมแล้ว ผมชอบอาคารริมน้ำมากกว่า (ห้องพักที่อาคารริมน้ำ ก็ได้รับการปรับปรุงแล้ว น่าไปพักมาก ๆ ครับ)

          ผ่านคืนแรกไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ตื่นเช้ามา หลังจากแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ กันแล้ว ก็ได้เดินไปรับประทานอาหารเช้ากัน ข้อดีของบ้านคูบัว คือ อยู่ใกล้ที่รับประทานอาหารครับ ถ้าเป็นที่อาคารริมน้ำ จะเดินค่อนข้างไกลครับ อาหารเช้าของที่นี่ จะเป็นแบบ อเมริกันและไทย แต่เป็นบุฟเฟ่ต์ ให้เลือกกันได้ตามใจชอบเลยครับ

          อาหารหนัก อาหารเบา มีหมดครับ ทั้งข่าวผัด ต้มเลือดหมู หรือใครที่ชอบทานแบบอเมริกัน ก็มีไส้กรอก ไข่ดาว แฮม น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ก็มีนะครับ ปาท่องโก๋ ของที่นี่ อร่อย!! ครับ แป้งทำได้ค่อนข้างดี หรือจะเป็นแบบ คอนเฟล็ก นมสด สลัด ขนมปังปิ้งทาเนย ทาแยม ก็มีให้บริการเช่นกันครับ

          หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางท่องเที่ยวแล้วครับ ที่แรกที่พวกผมไปกันก็คือ "หมู่บ้านมอญ" ตรงไทรโยคนะครับ ไม่ใช่ที่สังขละบุรี หมู่บ้านมอญ ที่ไทรโยค จะอยู่เลยน้ำตกไทรโยคน้อยไปประมาณ 16 กิโล ได้ครับ สังเกตุป้ายที่เขียนว่า "ท่าเรือรีโซเทล" ซึ่งเราต้องไปลงเรือกันที่นี่ครับ

          จากถนนสายหลัก ไป ท่าเรือรีโซเทล ทางลงจะต้องระมัดระวังนะครับ เพราะเป็นทางลงเขา ถ้าขับเร็วอาจเกิดอันตรายได้ครับ เมื่อมาถึงแล้ว ก็ให้ไปติดต่อเรือกับทางร้านค้าได้เลยครับ มีเรือตลอด ค่าเรือไป - กลับ จะอยู่ที่ลำล่ะ 1,000 บาท ถ้าช่วงน้ำลง จะนั่งได้ ผู้ใหญ่ 6 คน ถ้าน้ำขึ้น ผู้ใหญ่ นั่ง 10 คน ก็ไม่มีปัญหาครับ

ลงเรือไปหมู่บ้านมอญกันครับ

เดอะ โฟลท์ เฮ้าส์ ริเวอร์แคว สวยดี น่าพัก

ทางเดินไปหมู่บ้านมอญ


          จากท่าเรือรีโซเทล ไป หมู่บ้านมอญ จะนั่งเรือไปประมาณ 15 นาที จะไปลงที่ แพ จังเกิ้ล ราฟท์ หมู่บ้านมอญ ก็จะอยู่ติดกับ แพ จังเกิ้ล ราฟท์ ครับ

          หมู่บ้านมอญ ค่อนข้างจะเงียบสงบดีครับ คือ ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวมา เค้าก็จะอยู่กันแบบวิถีชาวบ้าน ลักษณะบ้านมอญ ก็จะเป็นแบบบ้านชั้นเดียว พื้นที่โดยรอบก็โปร่ง ทำให้ผมนึกจิตนาการไปว่า ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว คงจะหนาวน่าดูเชียว เพราะไม่มีสิ่งก่อสร้างอันใด มาบังลมเลย

          ภายในหมู่บ้านมอญ จะแบ่งเป็นส่วน ๆ มีทั้งส่วนที่เป็น โรงเรียน สนามฟุตบอล และวัด

ตัวอาคารเรียน

สนามเด็กเล่น ภายในโรงเรียน


          ในส่วนของโรงเรียนก็จะมีอาคารเรียน และ สนามเด็กเล่น ด้วย ตอนที่ผมไป นักเรียนไม่มีการเรียน แต่อาจารย์กำลังเปิดหนังการ์ตูนให้ดู

สนามฟุตบอล


          ในส่วนของสนามฟุตบอล ก็มีนะครับ แต่หญ้าไม่ค่อยมี เพราะโดนเจ้าถิ่นเล็มหญ้ากินหมด

วัดในหมู่บ้านมอญ


          ในส่วนของวัด จะแตกต่างกับที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน คือจะเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ดูทีแรกผมก็ไม่รู้ว่า เป็นวัด แต่เห็นมีคนนำของมาถวาย และมีพระเดินออกมา จึงทำให้รู้ว่าเป็นในส่วนของวัด



พระพุทธรูป ศิลปะมอญ

พระปรางค์มารวิชัย ด้านหลังเป็นเจดีย์ชเวดากอง จำลอง

พระปรางค์นาคปรก ศิลปะแบบมอญ
อ่างเก็บน้ำ


          ภายในบริเวณวัดก็จะมีองค์พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ซึ่งพระพุทธรูปของที่อื่น จะเป็นพระพุทธรูปองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นปรางค์ต่าง ๆ ศิลปะก็จะเป็นแบบมอญ จะมีเจดีย์ชเวดากอง แบบจำลองอยู่ด้วย

          จากหมู่บ้านมอญ ผมได้ไปเที่ยวทางรถไฟสายมรณะกันต่อ ซึ่งตอนที่ผมไปถึงเป็นช่วงเที่ยง ๆ อากาศร้อนมาก ๆ ถ้ำกระแซ และ ทางรถไฟสายมรณะ เปลี่ยนแปลงไปจากที่ผมมาครั้งแรกเยอะเลย ผมจำได้ว่าตอนที่ผมไปเที่ยวทางรถไฟสายมรณะครั้งแรก ผมได้เดินไปตามทางรถไฟ ระหว่างขอนรถไฟแต่ละอัน จะเป็นร่อง ๆ มองเห็นด้านล่าง ตอนเดินแรก ๆ ก็ไม่คิดอะไรครับ แต่เดินไป เดินมา ชักจะเสียวขึ้นมา (ผมเป็นคนกลัวความสูง)

          แต่ที่ผมไปมาในครั้งนี้ ตรงช่องระหว่างขอนไม้แต่ละอัน จะถูกปิดด้วยแผ่นเหล็ก และโรยกรวดทับอีกชั้น จะมีแค่บางช่วงเท่านั้นที่ยังเป็นช่อง พอจะมองเห็นด้านล่างอยู่ แม้จะเดินได้ง่ายขึ้น และไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อน แต่ในความรู้สึกผม รู้สึกว่า การเดินผจญภัยด้วยความตื่นเต้นบนขอนไม้รางรถไฟสายมรณะ มันได้หายไปอย่างสิ้นเชิง

          เมื่อมองลงไปที่ข้างล่างของทางรถไฟสายมรณะ จะเห็นวิวแม่น้ำไทรโยคน้อย ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่า อากาศที่ค่อนข้างร้อนและแล้งของเมืองไทย ทำให้แม่น้ำไทรโยคน้อย น้ำค่อนข้างน้อย ทัศนียภาพจึงอาจจะดูไม่สวยงามเหมือนที่ผมได้มาครั้งแรก ตอนที่ผมมาครั้งแรก น้ำในแม่น้ำไทรโยคน้อย ค่อนข้างเยอะ ทำให้ทัศนียภาพค่อนข้างสวยงาม ตราตรึงใจผมมาก ๆ

          ผมใช้เวลาอยู่ที่ถ้ำกระแซ และทางรถไฟสายมรณะไม่นานนัก เนื่องจากอากาศร้อนมาก จึงได้รีบไปที่ต่อไปกัน สถานที่ต่อไปที่ผมไปกัน ก็คือ "สวนไทรโยค" ผมกะว่าจะไปเล่นกิจกรรมกันที่นี่ กิจกรรมที่ผมจะไปเล่นก็คือ "ขับรถ ATV" ครับ

          แต่ต้องขอติที่นี่เลยครับ รถ ATV มีให้ขับค่อนข้างน้อย ผมเล่นกันประมาณ 7 คน แต่มีรถให้ขับเพียงแค่ 4 คัน ซึ่งน้อยมากถ้าเทียบกับขนาดของรีสอร์ทที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องไป 2 รอบ หลังจากขับรถ ATV เสร็จ ผมได้สอบถามทางเจ้าหน้าที่ว่า "จะสามารถล่องแพลอยคอได้ไหม" อันที่จริงก่อนผมจะไป ผมได้สอบถามกับทางเซลล์ของที่สวนไทรโยคแล้ว ซึ่งทางเซลล์เองก็บอกว่า กิจกรรมอื่นเล่นได้หมด ยกเว้นล่องแพลอยคอ เพราะรีสอร์ทถูกเหมา จะทำให้การล่องแพลอยคอ ไม่สะดวก เพราะต้องรอคอยนาน ทางผู้จัดการจึงไม่ให้ขายกิจกรรมนี้

          แต่ผมก็ลองไปถามที่หน้างานดู สรุปว่า เจ้าหน้าที่บอกว่าได้ แต่อาจต้องรอ 1 ชั่วโมง ทางผมเห็นว่า รอตั้ง 1 ชั่วโมง ค่อนข้างที่จะนานไปหน่อย จึงแจ้งว่า ไม่เอา ทางเจ้าหน้าที่เห็นว่า กรุ๊ปผมไม่เอา ก็บอกว่า "เดียวลองปรึกษากันดูอีกที" ท่านผู้อ่านคิดว่า จะได้ไหมครับ ให้ทายดูนะครับ

          สรุปคือ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า "ได้" ครับ ทางผมก็ได้ทำการจ่ายเงินกันเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็บอกให้ลงไปรอทางด้านขวาล่าง เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะเดินตามลงไป ผมก็ลงไปกันแต่โดยดี รอสักระยะก็ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่มาเลย ผมกับน้องชายก็เดินขึ้นมาถาม เพราะเรือก็จะออกแล้ว

          พอผมเดินขึ้นมาถาม เจ้าหน้าที่บอกว่า "เจ้าหน้าที่เดินลงไปรอแล้วนะ แต่อยู่ทางด้านซ้ายล่าง" ซึ่งต่างจากที่บอกผมครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง ผมก็เดินลงไปดู ก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่มารอเลย ส่วนเรือก็ออกไปแล้ว ผมได้เดินขึ้นมาถามเจ้าหน้าที่คนเดิมอีกครั้ง และได้บอกด้วยว่า ไม่เจอเจ้าหน้าที่เลย และเรือก็ออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่บอกให้ผมรออีก 1 ชั่วโมง เพราะเรือออกไปแล้ว ซึ่งทางผมก็คงไม่รออยู่แล้วครับ จึงได้ขอเงินคืน

          ที่ผมมาพิมพ์เล่าให้ฟัง ก็ไม่ได้คิดจะโจมตีหรือต่อว่า ทาง สวนไทรโยค รีสอร์ท นะครับ ผมเพียงแค่มาแชร์ประสบการณ์ที่ได้เจอมาให้กับคุณผู้อ่านทุกท่าน แต่กรุ๊ปผมก็ไม่ค่อยประทับใจกับเจ้าหน้าที่ของทาง สวนไทรโยค รีสอร์ท สักเท่าไหร่ครับ ถ้าคุณผู้อ่านไป ผมแนะนำให้ไปช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลดีกว่าครับ จะได้รับความรู้สึกดี ๆ กลับมา

          เมื่อไม่ได้เล่นน้ำตามอย่างที่หวังไว้ ผมก็เลบกลับรีสอร์ท และไปเล่นน้ำในสระของทาง ผึ้งหวาน รีสอร์ท บอกเลยครับว่า สนุกเช่นเดียวกัน มีทั้งอ่างจากุซชี่ และสระว่ายน้ำ สไลเดอร์ก็มีนะครับ สไลเดอร์ถือเป็นไฮไลท์ที่ถูกอกถูกใจของเด็ก ๆ เลยครับ

          ตอนหน้าจะมาต่อวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันกลับเข้าสู่ กรุงเทพฯ และผมจะไปเที่ยวไหนบ้าง ติดตามกันได้นะครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น