วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ีรีวิว ทริปเที่ยว กาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน # Day 3่


          หลังจากที่ผมได้ออกจาก "สวนไทรโยค รีสอร์ท" (จากตอนที่แล้ว ที่ผมไปทำกิจกรรมมานะครับ สามารถหาอ่านได้จากตอน "ทริปกาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน # Day 2 นะครับ) ผมได้ตรงกลับที่พักทันที เพื่อไปเล่นน้ำที่สระของทางที่พัก

          ผมลืมเล่าไปครับ อาหารที่ผมรับประทานระหว่างไปเที่ยว ถ้าเป็นช่วงกลางวัน ผมก็จะรับประทานตามร้านข้างทางทั่วไปนะครับ แบบที่ว่า หิวเมื่อไหร่ เจอร้านไหนที่พอน่าสนใจ ก็แวะเลย ดังนั้นผมจึงไม่มีรีวิวอาหารกลางวันมานะครับ ต้องขออภัยด้วยครับ

          ส่วนอาหารเย็น ผมจะอาศัยทานที่ในรีสอร์ทครับ โดยในเย็นวันแรก ผมทานในรีสอร์ท ก็จะสั่งเป็นกับมาทานกับข้าว ทานกัน 10 กว่าคน ออกมา 2,400 กว่าบาท ราคาค่อนข้างสูงนิดครับ เย็นวันที่ 2 ผมปรึกษากับน้องชายผม ก็มีความเห็นว่า น่าจะลองออกไปหาอะไรทานกันข้างนอกดีกว่า เผื่อคนอื่นอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

          แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ไปครับ เนื่องจากเล่นน้ำในสระเพลิน แล้วตอนจะไปก็หาคนขับรถไม่เจอ ก็เลยต้องทานในรีสอร์ทอีก 1 วัน รอบนี้ผมเลยเสนอทานแยกเป็นจานเดี่ยว เพราะดูจากราคาแล้ว น่าจะถูกกว่า สรุปออกมาถูกกว่าจริง ๆ ครับ ทาน 10 กว่าคนเหมือนเดิม ออกมาแค่ 1,200 กว่าบาทเองครับ ถูกกว่าตั้งครึ่งหนึ่ง ถ้าใครจะไป ผมแนะนำให้ทานแบบจานเดี่ยวดีกว่าครับ

          หลังจากนอนพักผ่อนด้วยความเหนื่อยล้า ตื่นเช้ามาก็รับประทานอาหารเช้า ก่อนจะเช็คเอ้าท์ ออกจากรีสอร์ท อาหารเช้าในวันที่ 3 ไลน์อาหารก็จะเหมือนกับวันที่ 2 ครับ ทานเสร็จประมาณ 10 โมงเช้า ผมก็เตรียมเช็คเอ้าท์ออกครับ ที่ออกเร็วเพราะว่าตอนแรกกะว่าจะได้ไปหลายที่ และคนที่ไปด้วยกันกับผม เค้าก็ไม่อยากกลับถึงบ้านกันดึก

          เช็คเอ้าท์ออกจากรีสอร์ท สถานที่แรกที่ผมไปก็คือ "ช่องเขาขาด" ซึ่งผมเคยไปมาแล้ว แต่ให้ไปอีกผมก็ไม่ขัดครับ ตอนที่ผมมาครั้งที่แล้ว ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง แต่สามารถเข้าชมได้บางส่วน แต่มาคราวนี้ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ได้สร้างเสร็จแล้ว

          ผมได้ลงไปเดินที่ด้านล่างก่อน เพื่อพาทั้งกรุ๊ปไปเดินดูที่มาของชื่อ "ช่องเขาขาด" ถึงแม้อากาศด้านบนค่อนข้างจะร้อน แต่ด้านล่างกับไม่ร้อน

ด้านหน้าทางเข้าช่องเขาขาด


ภายในบริเวณช่องเขาขาด

แผ่นป้ายรำลึกถึงเชลยศึก

รางรถไฟทีใช้ในการขนส่งเครื่องมือ


          ช่องเขาขาด นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของ กาญจนบุรี แล้ว ยังเป็นสถานที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ดีอีกที่หนึ่ง โดยเราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเชลยศึกที่มาสร้างทางรถไฟเพื่อไปยังประเทศพม่า จำนวนเชลยที่สูญเสียไปกับการสร้างทางรถไฟสายนี้ และยังมีร่องรอยของรางรถไฟหลงเหลืออยู่

          ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ สร้างได้อย่างสวยงาม แต่ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาติให้นำอาหารหรือน้ำ เข้ามานะครับ มีการแบ่งเป็นห้อง ๆ ไว้อย่างชัดเจน มีห้องฉายสไลด์ภาพของเชลยศึก ครั้งที่มาสร้างทางรถไฟสายมรณะ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

          อีกทั้งยังมี โมเดลจำลอง เส้นทางการสร้างทางรถไฟ จากประเทศไทย ไป ประเทศพม่า เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างทางรถไฟ หุ่นจำลองเชลยที่มีรูปร่างผอมโซที่กำลังแบกขอนไม้รางรถไฟ หรืออาหารที่เชลยได้รับในแต่ล่ะวัน ก็มีจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เช่นกัน

          ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีป้ายให้ความรู้ต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อให้ทราบถึงความโหดร้ายของสงคราม และความทุกข์ทรมานของเชลยศึก มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภูเขาของช่องเขาขาดได้ด้วยเช่นกัน

จุดชมวิว พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด


          ออกจากช่องเขาขาด ผมคิดว่าอยากจะแวะไหว้พระสัก 2 วัด เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ แต่พอดูจากเวลาแล้ว ไม่น่าจะได้ไหว้ 2 วัด ผมจึงเลือก "วัดถ้ำเสือ" เพื่อขอพร ขอความเป็นสิริมงคล

บันไดทางขึ้นสู่วัดถ้ำเสือ


          ผมมาถึงวัดถ้ำเสือประมาณบ่าย 4 โมงเย็น แดดกำลังร้อนเลยครับ เบื้องหน้าผมคือ "บันได้ทางขึ้นสู่วัดถ้ำเสือ" ที่ค่อนข้างสูงและชัน จะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งขึ้นและฝั่งลง

          ความรู้สึกในตอนเดินขึ้นบันได ผมรู้สึกเหมือนเดินขึ้นบันได้ที่พระปรางค์ วัดอรุณฯ คือสูงและชันเหมือนกัน ต่างกันตรงบันได้ของวัดถ้ำเสือ ตรงช่วงระหว่างบันไดต่อบันได จะไม่สูงเหมือนกับที่ วัดอรุณฯ แต่เมื่อเดินขึ้นบันได้ไปถึงกลางทาง ผมลองมองกลับมาด้านหลัง ก็เสียว ๆ หวิว ๆ เช่นกันครับ

          สำหรับคนที่กลัวว่าจะเดินไม่ไหว หรือคนแก่ที่หัวเข่าไม่ค่อยดี ด้านข้างของบันได จะมีรถกระเช้าไว้ให้บริการ แต่จะเสียค่าบริการประมาณ 10 บาท

พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ไฮไลท์ของวัดถ้ำเสือ

          ด้านบนก็จะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่เป็นไฮไลท์ของวัดถ้ำเสือ วิวด้านหลังของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ จะเป็นทุ่งนา ถ้ามาในช่วงที่ต้นข้าวโต จะสวยงามมาก เพราะจะเขียวชะอุ่มไปด้วยนาข้าว แต่ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงหน้าร้อน ต้นข้าวได้ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว ทำให้วิวที่ผมอยากเห็นหายไปด้วย

          หลังจากที่ขอพรกับพระประธานองค์ใหญ่เสร็จแล้ว ด้านข้างจะมีอาคาร เพื่อนผมบอกว่า ข้างบนสุดของอาคาร จะมีพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่ ผมจึงไม่รอช้าที่จะไปสักการะบูชา

          ภายในตัวอาคารแต่ละชั้นจะมีภาพฝาผนัง เล่าเรื่องราวต่าง ๆ โดยในแต่ละชั้นจะเป็นการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนกันเลยสักชั้น มีทั้งเรื่องของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยอดีต ภาพพุทธประวัติ นรก สวรรค์ ก็มี ในแต่ละชั้นก็จะมีฆ้องในเราสามารถลูบได้ โดยมีความเชื่อว่า ถ้าลูบแล้ว จะมีเงิน มีทอง ร่ำรวย มีชื่อเสียง และมีความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง (ผมก็ลูบทุกชั้น อิอิ)

          ชั้นบนสุดก็จะเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ แต่กว่าจะไปถึงชั้นบนสุด ต้องผ่านบันได้วนที่ค่อนข้างแคบและเล็ก คือเดินได้คนเดียว ถ้าเดินสวนกันจะลำบากทันที จากชั้นล่างถึงพระบรมสารีริกธาตุ เดินขึ้นหลายชั้นเช่นกันนะครับ ผมไม่ได้นับว่ากี่ชั้น แต่น่าจะ 5 ชั้นขึ้นไปครับ

พระบรมสารีริกธาตุ


จุดไหว้ก่อนเดินลง

          ขาเดินลงกลับไปที่รถ เพื่อนผมแนะนำว่า ให้ลงอีกทาง่หนึ่ง ซึ่งจะเดินขึ้น เดินลง สะดวกว่าทางขึ้นตอนแรกที่ผมเดินขึ้นมา เพราะมันไม่ชัน แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีทางนี้ ทางลงนี้จะอยู่เลยจากพระประธานองค์ใหญ่ไปนิดหน่อยครับ จะอยู่ตรงข้ามกับตัวอาคารพระบรมสารีริกธาตุ

          ถ้าเดินลงมาเกือบถึงด้านล่างสุด จะมีเข้าสู่ตัวถ้ำ ภายในถ้ำจะมีพระพุทธรูป มีเจ้าแม่กวนอิม และปู่เจ้าสมิงพราย อยู่ด้วย (ผมเห็นปู่เจ้าสมิงพราย จึงเข้าใจว่า ชื่อวัดถ้ำเสือน่าจะมาจากท่าน) หลังจากแวะไหว้พระภายในถ้ำกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะกลับเข้าสู่กรุงเทพฯ แล้วครับ

          ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปแรกที่ผมได้ไปพักแบบ 3 วัน 2 คืน ทั้งสนุก ทั้งเหนื่อยครับ ไม่มีวันไหนที่เหงื่อจะไม่ท่วมตัวครับ กาญจนบุรี ร้อนมากครับ แต่ก็สนุกมากครับ ถ้าคุณผู้อ่านชอบ กด Like เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ คราวหน้าผมจะมารีวิวที่ไหนอีก ติดตามกันได้นะครับ ขอบคุณครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น