หลังจากที่ผมได้ออกจาก "สวนไทรโยค รีสอร์ท" (จากตอนที่แล้ว ที่ผมไปทำกิจกรรมมานะครับ สามารถหาอ่านได้จากตอน "ทริปกาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน # Day 2 นะครับ) ผมได้ตรงกลับที่พักทันที เพื่อไปเล่นน้ำที่สระของทางที่พัก
ผมลืมเล่าไปครับ อาหารที่ผมรับประทานระหว่างไปเที่ยว ถ้าเป็นช่วงกลางวัน ผมก็จะรับประทานตามร้านข้างทางทั่วไปนะครับ แบบที่ว่า หิวเมื่อไหร่ เจอร้านไหนที่พอน่าสนใจ ก็แวะเลย ดังนั้นผมจึงไม่มีรีวิวอาหารกลางวันมานะครับ ต้องขออภัยด้วยครับ
ส่วนอาหารเย็น ผมจะอาศัยทานที่ในรีสอร์ทครับ โดยในเย็นวันแรก ผมทานในรีสอร์ท ก็จะสั่งเป็นกับมาทานกับข้าว ทานกัน 10 กว่าคน ออกมา 2,400 กว่าบาท ราคาค่อนข้างสูงนิดครับ เย็นวันที่ 2 ผมปรึกษากับน้องชายผม ก็มีความเห็นว่า น่าจะลองออกไปหาอะไรทานกันข้างนอกดีกว่า เผื่อคนอื่นอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ไปครับ เนื่องจากเล่นน้ำในสระเพลิน แล้วตอนจะไปก็หาคนขับรถไม่เจอ ก็เลยต้องทานในรีสอร์ทอีก 1 วัน รอบนี้ผมเลยเสนอทานแยกเป็นจานเดี่ยว เพราะดูจากราคาแล้ว น่าจะถูกกว่า สรุปออกมาถูกกว่าจริง ๆ ครับ ทาน 10 กว่าคนเหมือนเดิม ออกมาแค่ 1,200 กว่าบาทเองครับ ถูกกว่าตั้งครึ่งหนึ่ง ถ้าใครจะไป ผมแนะนำให้ทานแบบจานเดี่ยวดีกว่าครับ
หลังจากนอนพักผ่อนด้วยความเหนื่อยล้า ตื่นเช้ามาก็รับประทานอาหารเช้า ก่อนจะเช็คเอ้าท์ ออกจากรีสอร์ท อาหารเช้าในวันที่ 3 ไลน์อาหารก็จะเหมือนกับวันที่ 2 ครับ ทานเสร็จประมาณ 10 โมงเช้า ผมก็เตรียมเช็คเอ้าท์ออกครับ ที่ออกเร็วเพราะว่าตอนแรกกะว่าจะได้ไปหลายที่ และคนที่ไปด้วยกันกับผม เค้าก็ไม่อยากกลับถึงบ้านกันดึก
เช็คเอ้าท์ออกจากรีสอร์ท สถานที่แรกที่ผมไปก็คือ "ช่องเขาขาด" ซึ่งผมเคยไปมาแล้ว แต่ให้ไปอีกผมก็ไม่ขัดครับ ตอนที่ผมมาครั้งที่แล้ว ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง แต่สามารถเข้าชมได้บางส่วน แต่มาคราวนี้ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ได้สร้างเสร็จแล้ว
ผมได้ลงไปเดินที่ด้านล่างก่อน เพื่อพาทั้งกรุ๊ปไปเดินดูที่มาของชื่อ "ช่องเขาขาด" ถึงแม้อากาศด้านบนค่อนข้างจะร้อน แต่ด้านล่างกับไม่ร้อน
ด้านหน้าทางเข้าช่องเขาขาด |
ภายในบริเวณช่องเขาขาด |
แผ่นป้ายรำลึกถึงเชลยศึก |
รางรถไฟทีใช้ในการขนส่งเครื่องมือ |
ช่องเขาขาด นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของ กาญจนบุรี แล้ว ยังเป็นสถานที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ดีอีกที่หนึ่ง โดยเราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเชลยศึกที่มาสร้างทางรถไฟเพื่อไปยังประเทศพม่า จำนวนเชลยที่สูญเสียไปกับการสร้างทางรถไฟสายนี้ และยังมีร่องรอยของรางรถไฟหลงเหลืออยู่
ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ สร้างได้อย่างสวยงาม แต่ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาติให้นำอาหารหรือน้ำ เข้ามานะครับ มีการแบ่งเป็นห้อง ๆ ไว้อย่างชัดเจน มีห้องฉายสไลด์ภาพของเชลยศึก ครั้งที่มาสร้างทางรถไฟสายมรณะ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
อีกทั้งยังมี โมเดลจำลอง เส้นทางการสร้างทางรถไฟ จากประเทศไทย ไป ประเทศพม่า เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างทางรถไฟ หุ่นจำลองเชลยที่มีรูปร่างผอมโซที่กำลังแบกขอนไม้รางรถไฟ หรืออาหารที่เชลยได้รับในแต่ล่ะวัน ก็มีจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เช่นกัน
ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีป้ายให้ความรู้ต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อให้ทราบถึงความโหดร้ายของสงคราม และความทุกข์ทรมานของเชลยศึก มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภูเขาของช่องเขาขาดได้ด้วยเช่นกัน
จุดชมวิว พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด |
ออกจากช่องเขาขาด ผมคิดว่าอยากจะแวะไหว้พระสัก 2 วัด เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ แต่พอดูจากเวลาแล้ว ไม่น่าจะได้ไหว้ 2 วัด ผมจึงเลือก "วัดถ้ำเสือ" เพื่อขอพร ขอความเป็นสิริมงคล
บันไดทางขึ้นสู่วัดถ้ำเสือ |
ผมมาถึงวัดถ้ำเสือประมาณบ่าย 4 โมงเย็น แดดกำลังร้อนเลยครับ เบื้องหน้าผมคือ "บันได้ทางขึ้นสู่วัดถ้ำเสือ" ที่ค่อนข้างสูงและชัน จะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งขึ้นและฝั่งลง
ความรู้สึกในตอนเดินขึ้นบันได ผมรู้สึกเหมือนเดินขึ้นบันได้ที่พระปรางค์ วัดอรุณฯ คือสูงและชันเหมือนกัน ต่างกันตรงบันได้ของวัดถ้ำเสือ ตรงช่วงระหว่างบันไดต่อบันได จะไม่สูงเหมือนกับที่ วัดอรุณฯ แต่เมื่อเดินขึ้นบันได้ไปถึงกลางทาง ผมลองมองกลับมาด้านหลัง ก็เสียว ๆ หวิว ๆ เช่นกันครับ
สำหรับคนที่กลัวว่าจะเดินไม่ไหว หรือคนแก่ที่หัวเข่าไม่ค่อยดี ด้านข้างของบันได จะมีรถกระเช้าไว้ให้บริการ แต่จะเสียค่าบริการประมาณ 10 บาท
พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ไฮไลท์ของวัดถ้ำเสือ |
ด้านบนก็จะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่เป็นไฮไลท์ของวัดถ้ำเสือ วิวด้านหลังของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ จะเป็นทุ่งนา ถ้ามาในช่วงที่ต้นข้าวโต จะสวยงามมาก เพราะจะเขียวชะอุ่มไปด้วยนาข้าว แต่ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงหน้าร้อน ต้นข้าวได้ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว ทำให้วิวที่ผมอยากเห็นหายไปด้วย
หลังจากที่ขอพรกับพระประธานองค์ใหญ่เสร็จแล้ว ด้านข้างจะมีอาคาร เพื่อนผมบอกว่า ข้างบนสุดของอาคาร จะมีพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่ ผมจึงไม่รอช้าที่จะไปสักการะบูชา
ภายในตัวอาคารแต่ละชั้นจะมีภาพฝาผนัง เล่าเรื่องราวต่าง ๆ โดยในแต่ละชั้นจะเป็นการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนกันเลยสักชั้น มีทั้งเรื่องของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยอดีต ภาพพุทธประวัติ นรก สวรรค์ ก็มี ในแต่ละชั้นก็จะมีฆ้องในเราสามารถลูบได้ โดยมีความเชื่อว่า ถ้าลูบแล้ว จะมีเงิน มีทอง ร่ำรวย มีชื่อเสียง และมีความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง (ผมก็ลูบทุกชั้น อิอิ)
ชั้นบนสุดก็จะเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ แต่กว่าจะไปถึงชั้นบนสุด ต้องผ่านบันได้วนที่ค่อนข้างแคบและเล็ก คือเดินได้คนเดียว ถ้าเดินสวนกันจะลำบากทันที จากชั้นล่างถึงพระบรมสารีริกธาตุ เดินขึ้นหลายชั้นเช่นกันนะครับ ผมไม่ได้นับว่ากี่ชั้น แต่น่าจะ 5 ชั้นขึ้นไปครับ
พระบรมสารีริกธาตุ |
จุดไหว้ก่อนเดินลง |
ขาเดินลงกลับไปที่รถ เพื่อนผมแนะนำว่า ให้ลงอีกทาง่หนึ่ง ซึ่งจะเดินขึ้น เดินลง สะดวกว่าทางขึ้นตอนแรกที่ผมเดินขึ้นมา เพราะมันไม่ชัน แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีทางนี้ ทางลงนี้จะอยู่เลยจากพระประธานองค์ใหญ่ไปนิดหน่อยครับ จะอยู่ตรงข้ามกับตัวอาคารพระบรมสารีริกธาตุ
ถ้าเดินลงมาเกือบถึงด้านล่างสุด จะมีเข้าสู่ตัวถ้ำ ภายในถ้ำจะมีพระพุทธรูป มีเจ้าแม่กวนอิม และปู่เจ้าสมิงพราย อยู่ด้วย (ผมเห็นปู่เจ้าสมิงพราย จึงเข้าใจว่า ชื่อวัดถ้ำเสือน่าจะมาจากท่าน) หลังจากแวะไหว้พระภายในถ้ำกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะกลับเข้าสู่กรุงเทพฯ แล้วครับ
ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปแรกที่ผมได้ไปพักแบบ 3 วัน 2 คืน ทั้งสนุก ทั้งเหนื่อยครับ ไม่มีวันไหนที่เหงื่อจะไม่ท่วมตัวครับ กาญจนบุรี ร้อนมากครับ แต่ก็สนุกมากครับ ถ้าคุณผู้อ่านชอบ กด Like เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ คราวหน้าผมจะมารีวิวที่ไหนอีก ติดตามกันได้นะครับ ขอบคุณครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น