วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560

รีวิว เกาะสีชัง ตอนที่ 2


เกาะสีชัง



          หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ตื่นมาเช้าวันที่ 2 กับ บรรยากาศที่สดชื่นปราศจากมลพิษ ทันทีที่ได้อาบน้ำ แปรงฟัน ล้างหน้า เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารเช้าครับ อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้วว่า ตัวโรงแรมที่ผมพัก คนค่อนข้างน้อย เพราะมาพัก 7-8 ห้องเท่านั้น ทำให้อาหารเช้า จะเป็นแบบชุด ไม่ได้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ (แต่ถ้ามีคนพักเกิน 15 ห้องขึ้นไป ทางโรงแรมก็จะเปิดเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ครับ)

          อาหารเช้าแบบชุด จะมีให้เลือก 2 ชุดนะครับ คือแบบอเมริกัน ก็จะมีไข่ดาว 2 ฟอง แฮม ไส้กรอก และเบคอนย่าง กับแบบที่ 2 จะเป็น ข้าวต้มทะเล ครับ โดยในแต่ล่ะชุดจะมีน้ำส้มให้ 1 แก้วครับ แต่จะมีมุมขนมปังปิ้ง ไมโล กาแฟ ที่มีให้เติมแบบไม่อั้นด้วยนะครับ

อาหารเช้าแบบอเมริกัน

          ผมเลือกแบบอเมริกัน 2 ชุด และเลือกแบบข้าวต้มทะเล 2 ชุด ครับ (เนื่องจากผมไปกัน 3 คน แต่มีคูปองอาหารเช้า 4 ใบ ทำให้เกินมา 1 ใบ เลยขอสั่งอาหารเช้าเลยครับ)

          หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ผมก็เตรียมพร้อมที่จะไปที่แรกกันแล้ว ที่แรกที่ผมไปก็คือ "พระราชวัง ที่สร้างสมัย ร.5" 

          ช่วงที่ผมไป ไม่มีแดด เลยทำให้เดินกันอย่างสบายไม่ร้อน ไฮไลท์ของที่นี่ "สะพานอัษฎางค์ที่สร้างยื่นไปในทะเล" ซึ่งน้ำทะเลของที่นี่จะใสมากครับ ทำให้คิดถึงทะเลทางใต้เลย นอกจากนั้นยังมีเรือนรับรอง ที่เปลี่ยนมาเป็นร้านขายเบเกอรี่ นั่งทานไป มองวิวทะเลไป ก็ได้บรรยากาศอีกแบบครับ




          ยังมีร่องรอยของฐานที่จะสร้างพระราชวัง แต่เนื่องจากมีสงครามกับฝรั่งเศสในระหว่างก่อสร้าง จึงทำให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งให้ยกเลิกการสร้างไปเสียก่อน

          ทางด้านบนของพระราชวัง ยังมีสถานที่ ๆ เป็นประวัติศาสตร์ไว้ให้ชม ให้ศึกษากันอีกด้วยครับ โดยจะมีป้ายบอกทางหรือบอกสถานที่ให้ตลอดระยะทาง ถ้าเดินขึ้นไปอีกก็จะมีจุดชมวิวให้ชมด้ว้นยครับ ถ้าท่านมีเวลา ผมแนะนำให้เดินขึ้นไปชมกันครับ ทางเดินค่อนข้างสะดวก เพราะนอกจาก จะชมสถานที่ ๆ เป็นประวัติศาสตร์แล้ว ยังได้ชมสถาปัติยกรรม อากาศก็สดชื่น และเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วยครับ




วิวจากจุดชมวิวที่ พระราชวัง

          หลังจากที่ผมได้ออกจาก พระราชวัง ก็ได้แวะไหว้พระที่ "วัดถ้ำจักรพงษ์" ซึ่งมี "หลวงพ่อเหลือง" เป็นพระประธาน ข้าง ๆ หลวงพ่อเหลือง จะมีทางลงไปยังถ้ำอยู่ แต่ทางลงต้องระวังกันด้วยนะครับ เพราะไม่มีราวบันไดให้จับ จะเป็นบันได้ที่เป็นหินไม่กว้างนัก และค่อนข้างชัน

หลวงพ่อเหลือง พระประธาน

          เมื่อลงมาถึงข้างล่างสุด จะมีพระนอนอยู่ในถ้ำ ข้างนอกถ้ำก็จะมีพระพุทธรูปให้สักการะกันอีกด้วย ทางกลับขึ้นไป ไม่ต้องกลับขึ้นทางเดิมนะครับ จะมีบันได้ที่สะดวกกว่าให้อยู่บริเวณภายนอกถ้ำ ขากลับขึ้นมาถึง หลวงพ่อเหลือง จะมีรูปปั้นปู่ฤาษีอยู่ด้วย สักการะเพื่อความเป็นศิริมงคลกันด้วยนะครับ

          ถัดจากวัดถ้ำจักรพงษ์ ผมได้มาแวะไหว้พระอีกหนึ่งที่ คือที่ "ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่" ก่อนขึ้นไปไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่ ทาง จนท.จะแนะนำให้ไหว้ข้างล่างก่อนครับ ซึ่งด้านล่างจะเป็น "เจ้าที่ ฟ้าดิน และก็เจ้าแม่กวนอิม" ครับ



          และจะมีทางลงไปยังถ้ำ ข้างในจะมี ปู่พญานาคกับพญาเต่าเรือน สถิตย์อยู่ครับ

          ขอตินิดหน่อยนะครับ ตอนที่ไหว้ ปู่พญานาคและพญาเต่าเรือน ภายในถ้ำ พอไหว้เสร็จแล้ว จะมีคนแก่ คอยคะยั้นคะยอให้เราทำบุญโดยเอาเงินใส่ตู้ ซึ่งผมดูแล้ว ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ ถ้าผมจะเอาเงินหยอดตู้ ผมว่า ผมหยอดเองได้ครับ ไม่ต้องมาคะยั้นคะยอ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง แกอาจจะอยากให้เรา ทำบุญแล้ว เอาโชคลาภกลับบ้านก็ได้ครับ แล้วแต่มุมมองของแต่ล่ะคน นะครับ

          ทางขึ้นไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่ ค่อนข้างสูง สำหรับคนที่เดินไม่ไหว ทางศาลเจ้าจะมีรถรางไว้บริการเช่นกันครับ แต่น่าจะให้ทำบุญนะครับ สำหรับคนที่เดินขึ้นเช่นผม กลางทางระหว่างขึ้น ก็จะมีศาล 8 เซียน อยู่ด้วยครับ สามารถสักการะบูชากันได้ครับ

          เมื่อขึ้นมาถึงแล้ว ก็สามารถไหว้ได้ตามทางเดินเลยครับ จะมีแต่เทพเจ้าจีนนะครับ โดยจะมี พระสังกัจจายน์ เจ้าแม่กวนอิม ไช่ซิงเอี้ย (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) ไต่เสี่ย (เห้งเจีย) ข้างในสุดก็จะมี เจ้าพ่อเขาใหญ่ อยู่ครับ

          เมื่อไหว้เสร็จแล้ว ขากลับลงมา ตรงข้ามกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ จะมีมูลนิธิคนชรา ของเกาะสีชังอยู่ โดยมูลนิธิจะเป็นตึกแถว 3 ห้องติดกัน ภายในมูลนิธีจะมีคนแก่ อาศัยอยู่ที่นั่น ดูแล้วก็น่าสงสารครับ ถ้าใครแวะไป ผมแนะนำให้บริจาคแก่ทางมูลนิธิด้วยนะครับ

          หลังจากไหว้พระ ทำบุญ เพื่อเป็นศิริมงคลแล้ว เมื่อผมได้มองดูนาฬิกาในมือถือ ก็พบว่าเป็นเวลา 11 โมงแล้ว จึงได้ขับรถกลับโรงแรมกัน เพื่ออาบน้ำและเตรียมเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรม ทำให้แพลนที่ผมวางไว้ คือ ช่องเขาขาดและรอยพระบาท นั้นตกไป (แอบเสียดายครับ)

          ผมได้เช็คเอ๊าท์ออกก่อนเที่ยง และให้รถทางโรงแรมไปส่งที่ท่าเรือ เพื่อเดินทางกลับ     ขานั่งเรือกลับ ผมได้บอกให้น้องผมไปนั่งด้านหลัง เพราะลมจะโกรก และอากาศถ่ายเทดีกว่าการนั่งใต้ท้องเรือ ขากลับผมก็นั่งหลับบนเรือตลอดทาง เลยอดถ่ายรูปสวย ๆ มาฝากกันครับ



          เมื่อมาถึงท่าเรือแล้ว มีรถ 3 ล้อ รออยู่เต็มเลยครับ บอกทางรถ 3 ล้อ ว่าไปท่ารถตู้ได้เลยครับ จะมีท่ารถตู้ 2 ที่ครับ มีที่จะไปลงเอกมัย กับ ลงที่หมอชิต 2

          ผมมาลงที่ หมอชิต 2 ค่ารถขากลับเข้ากรุงเทพฯ ถูกกว่าขาไปครับ ขาไป 150 บาท ขากลับ 120 บาทครับ

          เป็นอีกทริปที่สนุกและเหนื่อยกับการเดินทางมากครับ แม้จะดูใกล้แต่ก็เดินทางหลายต่อเลยครับ ขึ้นรถตู้ ต่อรถ 3 ล้อ ต่อเรือ ตัวเกาะสีชังเองอาจจะไม่กว้างใหญ่นัก แต่ผมคิดว่า ถ้าเที่ยวแล้วอยากเก็บรายละเอียด วันหนึ่งน่าจะพอครับ แต่ต้องเป็นวันหนึ่งเต็ม ๆ นะครับ ส่วนผมมีบางที่ ๆ ยังไม่ได้ไป ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเที่ยวอีกครับ

วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2560

รีวิว เกาะสีชัง ตอนที่ 1


รีวิว เกาะสีชัง


          ช่วงวันหยุดวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของรัชกาลที่ 10 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ผมและน้องชายได้มีโอกาสไปเที่ยว "เกาะสีชัง" แต่ทริปนี้คนไปกันค่อนข้างน้อย พวกผมไปกันแค่ 3 คน นับว่าน้อยที่สุดตั้งแต่ผมไปเที่ยวต่างจังหวัดมา T T

          พวกผมคนไปกันน้อย ทริปนี้จึงไม่ได้เช่ารถตู้ไป นั่งรถตู้สาธารณะไปแทนครับ ไปกัน 2 วัน 1 คืนง ผมไปขึ้นรถตู้ที่ "หมอชิต 2" ค่ารถประมาณ 150 บาท ผมไปถึงที่ หมอชิต 2 ประมาณ 9 โมงเช้า แต่รถกว่าจะมาก็ 10 โมง กว่าจะออกก็ 10.40 น. แล้วครับ

          ผมได้สอบถามกับทาง พนง.ที่ขายตั๋ว ว่า "นั่งไปนานเท่าไหร่" พนง.ขายตั๋วได้บอกว่า "ประมาณ 1.30 ชั่วโมง" แต่เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวด้วยมั้ง ทำให้แถวบางนาการจราจรค่อนข้างหนาแน่นมากครับ ผมหลับไป 2 รอบ ตื่นมาก็ยังไม่พ้นบางนาเลยครับ

          แต่หลังจากพ้นบางนามาได้ รถก็วิ่งฉิวเลย มาถึงที่ โรบินสัน ศรีราชา ก็ประมาณ 13.30 น. ได้ 

          จากโรบินสัน ศรีราชา นั่งรถสามล้อต่อมายังท่าเรืออีกประมาณ 80 บาท ต่อคัน (ช่วงที่ผมไป ท่าเรือเกาะลอยกำลังอยู่ในช่วงปรับปรุง ต้องมาขึ้นอีกท่าเรือหนึ่ง)



          ค่าเรือไปเกาะสีชัง จะอยู่ที่ 50 บาท (ไป - กลับ ราคาเท่ากัน) นั่งเรือจากฝั่งไปยังเกาะสีชัง ประมาณ 50 นาที หลังจากขึ้นจากเรือแล้ว ผมได้โทรให้รถทางโรงแรมที่ผมไปพักมารับไปยัง โรงแรมที่พัก

          ผมพักที่ "โรงแรมสีชัง พาเลซ"

บริเวณหน้าโรงแรมในยามค่ำคืน

บรรยากาศภายในห้อง

บรรยากาศภายในห้อง

ห้องน้ำ

          มาถึงที่พักประมาณ 3 โมงเย็นได้แล้วครับ ถือว่าผิดจากที่ผมวางแผนเอาไว้ตอนแรก ค่อนข้างเยอะ (ผมกะว่ามาถึงทีพักประมาณเที่ยง จะได้มีเวลาเที่ยวเยอะ) ทำให้การเที่ยวรอบเกาะสีชังในวันแรกของผม ค่อนข้างจำกัดเลยทีเดียว

          โรงแรมสีชัง พาเลซ เป็นโรงแรมที่อยู่ไม่ห่างไกลจากท่าเรือมากนัก ห้องที่ผมพัก เป็นห้องแบบวิวทะเล ค่าห้องจะอยู่ที่ประมาณ 1,460 บาท ต่อ คืน จะมีห้องแบบวิวสระน้ำของโรงแรมด้วยเช่นกัน ราคาจะอยู่ที่ 1,260 บาท ต่อ คืน แต่ผมนาน ๆ มาเที่ยวทะเลที ขอเลือกแบบวิวทะเลดีกว่า อิอิ

          ตัวโรงแรมค่อนข้างเก่าหน่อยครับ มีกี่ชั้นผมไม่แน่ใจ แต่ผมได้ห้องพักชั้น 2 โรงแรมไม่มีลิฟต์นะครับ เท่าที่ผมสังเกตุ (หรืออาจจะมีก็ได้ครับ) ช่วงที่ผมไปคนพักค่อนข้างน้อย สอบถามได้ความว่า มีพักอยู่ประมาณ 7-8 ห้อง

          หลังจากที่ผมไปถึง ก็ได้เช่ารถมอเตอร์ไซด์กับทางโรงแรม (ราคาเช่ามอเตอร์ไซด์ของเกาะสีชัง จะเป็นมาตราฐานทุกทีครับ คือ วันล่ะ 300 บาท แต่ผมเห็นมีแบบเช่าเป็นรายครึ่งวันด้วยนะครับ ราคาก็จะลดหลั่นกันลงมา สามารถหาเช่าได้ที่ท่าเรือครับ แต่ท่าเป็นบริเวณที่พัก น่าจะให้เช่าเป็นรายวันมากกว่าครับ เช่า 300 ต่อวัน รวมน้ำมันแล้วนะครับ)

          จากการเดินทางมา ทำให้พอมาถึงเกาะสีชัง ท้องก็เริ่มส่งเสียงร้องตามระยะทางที่เดินทางมาด้วย ผมได้สอบถามกับทางโรงแรมว่า มีร้านไหนบนเกาะที่อร่อยบ้าง จึงได้ความมาว่า "ร้านป้าหน่อย ริมทาง" อร่อยสุดบนเกาะ ผมจึงได้สอบถามวิธีการไปยังร้านป้าหน่อย เมื่อรู้ทางแล้ว จึงไปชิมความอร่อยกันครับ

          ร้านป้าหน่อย ริมทาง หาไม่ยากครับ อยู่ริมทาง ๆ ที่จะตรงไปยัง "พระราชวัง" ครับ

          ผมดูราคาแล้ว ค่อนข้างแพงครับ แต่น้องผมบอกว่า อาหารบนเกาะก็จะแบบนี้แหละ ซึ่งผมก็ยอมรับว่า ไม่เคยมานอนค้างหรือกินบนเกาะไหนเลยครับ นี่เป็นครั้งแรกจริง ๆ

          อาหารที่ผมสั่ง จะมี กระเพราเห็ด เห็ดฟันกระต่ายทอดกระเทียม ต้มยำรวมมิตร ข้าวเปล่า 6 จาน น้ำเปล่า 1 ขวดใหญ่ และน้ำแข็ง 1 ถัง ราคาอาหารรวมออกมา ประมาณ 550 บาท กินกัน 3 คนนะครับ

          แต่ต้องยอมรับจริง ๆ ครับ ว่า ร้านป้าหน่อย ริมทาง อาหารอร่อยจริง ๆ ครับ สั่งมา 3 อย่าง อร่อยทั้ง 3 อย่างเลย เห็ดฟันกระต่ายทอดกระเทียมตอนทีจิ้มกับซอสพริก ศรีราชา เข้ากันสุด ๆ ครับ (พูดแล้วก็อยากไปกินอีกจัง)

อร่อยมาก ๆ

          เมื่อท้องอิ่มแล้ว ผมก็พร้อมที่จะตะลุยท่องเที่ยวบนเกาะแล้วครับ สถานที่แรกที่ผมไป คือ "หาดถ้ำพัง" ซึ่งเป็นหาดเดียวบนเกาะที่เล่นน้ำได้และสวยที่สุด เช่นกันครับ

          ชายหาดถ้ำพัง ถือว่าสวยมากครับ น้ำทะเลน่าเล่นมาก แต่คลื่นก็ค่อนข้างแรงเช่นกัน มีร้านค้าและเก้าอี้ริมชายหาดให้นั่ง แต่ก็ไม่ได้นำมาตั้งบนหาดทราย เป็นการจัดระเบียบได้ค่อนข้างดีครับ ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงเย็น น้ำลด เห็นโขดหินที่ขึ้นอยู่ริมชายหาด เป็นภาพที่สวยงามและน่าประทับใจมากครับ วิวจากมุมสูง ก็สวยเช่นกัน เหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง

หาดถ้ำพัง

หาดถ้ำพัง เมื่อมองจากมุมสูง
หาดถ้ำพัง

          ผมใช้เวลาอยู่ที่หาดถ้ำพัง ไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็ขับรถไปต่อกันที่บริเวณปลายแหลมของเกาะ (น่าจะเป็นบริเวณที่ ณเดชน์ และ ญาญ่า มาถ่ายละคร) เหตุผลที่อยู่ที่หาดถ้ำพังไม่นาน ก็เพราะว่า ผมต้องรีบทำเวลาครับ เนื่องจากมาถึงที่เกาะก็เย็นแล้วครับ ที่ปลายแหลมของเกาะ มีทัศนียภาพที่สวยงามเช่นกัน (อยากปลูกบ้านไว้ตรงนั้นเลย อิอิ)





          เช่นกันครับ ผมใช้เวลาอยู่ที่ปลายแหลม ก็ไม่นานเช่นกัน ผมได้ลองขับรถไปรอบ ๆ เกาะดูครับ ผมเห็นป้ายข้างทางเขียนว่า "ปารี ฮัท" ผมเห็นภาพทางอินเตอร์เน็ท ปารี ฮัท เป็นรีสอร์ทที่ค่อนข้างหรู อาจจะหรูหราที่สุดบนเกาะก็ได้ครับ บวกกับการสร้างเป็นแบบกระท่อม ผมจึงอยากเห็นด้วยตาตนเอง ว่าเป็นอย่างไร จึงลองแวะดูครับ

          ต้องบอกเลยครับว่า ถนนทางเข้า ปารี ฮัท ค่อนข้างแย่ครับ เป็นลูกรังซ่ะเป็นส่วนใหญ่ ผมขับมอเตอร์ไซด์เข้ามา ก็กลัวยางแตกเหลือเกินครับ ได้แต่ค่อย ๆ ขับเข้ามา เมื่อมาถึง ปารี ฮัท ก็แอบหวั่น ๆ ในใจ ว่า จะสามารถเข้าไปชมรีสอร์ทได้ไหม แต่มีป้ายบอกตรงบริเวณประชาสัมพันธ์ ว่า "คนนอกที่ไม่ได้พักที่รีสอร์ท สามารถเข้ามาถ่ายรูปได้เฉพาะบริเวณประชาสัมพันธ์เท่านั้น ห้ามเข้าไปถ่ายรูปบริเวณห้องพัก"

          เมื่อเห็นป้ายแบบนี้แล้ว ผมก็โล่งใจครับ อยากเข้ามาชมอยู่แล้ว จึงเดินเข้ามาชมภายในบริเวณที่ทางรีสอร์ทกำหนดให้ ผมยอมรับว่า ปารี ฮัท เป็นรีสอร์ทที่สวยมาก ๆ เป็นรีสอร์ที่สวยที่สุด ตั้งแต่ผมไปพักมาหลายที่ อาจจะด้วยชัยภูมิที่เหมาะ คือ การสร้างรีสอร์ทอยู่บริเวณหน้าผา ทุกห้องสามารถมองเห็นทะเลได้หมด บริเวณด้านหน้าของห้อง จะมีเปลญวนไว้นอนเล่นชมวิวทะเล

ปารี ฮัท

ภายในรีสอร์ท ปารี ฮัท

วิวสวยมากจริง ๆ ครับ

วิวหลักล้าน

ห้องอาหารกับวิวหลักล้าน

          สระว่ายน้ำที่สามารถเห็นทะเลได้ บวกกับที่รับประทานอาหารที่เห็นวิวทะเล ทำให้การรับประทานอาหารเช้าหรือเย็น คงไม่อยากทานหมดเร็วเป็นแน่แท้ วิวที่เห็นแม้จะเป็นบริเวณที่รีสอร์ทกำหนด แต่กสวยงามมาก ๆ ครับ วิวหลักล้านจริง ๆ ทะเลที่มองไปได้ไกล ไม่มีเรือบรรทุกสินค้า บดบังทัศนียภาพ ช่วยยกระดับให้ ปารี ฮัท เป็นที่พักที่สวยที่สุดบนเกาะสีชัง จริง ๆ ครับ

          วิวทะเลของ ปารี ฮัท จะต่างจากบริเวณหน้าเกาะริบลับเลยครับ หน้าเกาะจะมีเรือบรรทุกสินค้า แล่นอยู่เต็มไปหมด ทำให้วิวดูแล้ว เหมือนนั่งดูรถวิ่งไปมาหน้าบ้านในกรุงเทพฯ เลยครับ

          หลังจากที่ดื่มด่ำกับวิวที่สวยงามของ ปารี ฮัท แล้ว ผมได้ขับรถต่อมาเพื่อจะกลับที่พัก แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดที่เที่ยวอีกที่หนึ่ง นั่นคือ "ช่องเขาขาด" บนเกาะสีชัง เป็นอีกหนึ่งสถานที่บนเกาะที่สวยเช่นกัน มีทางเดินที่สะดวกและอยู่เลียบทะเล แต่น่าเสียดายที่ผมไปถึงค่อนข้างเย็นมากแล้ว ประมาณ 18.15 น. ได้แล้ว ผมจึงคิดว่า จะกลับมาใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น จึงได้ขับรถกลับที่พัก

ช่องเขาขาด

          อาหารเย็นของผมในค่ำคืนแรก ผมก็อาศัยทางโรงแรมครับ กับ ข้าวผัดหมู ซึ่งราคาก็เหมือนกับในห้างครับ คือ 60 บาท แต่มาแพงตรงน้ำเปล่านี่แหละครับ น้ำเปล่าขวดล่ะ 20 บาท

          หลังจากทานข้าวเสร็จ เข้าห้องอาบน้ำเพื่อเตรียมพักผ่อน จะได้เที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้นครับ

          วันที่ 2 ผมขอเป็นตอนหน้านะครับ

ท้องฟ้ายามเย็นที่สวยงามของเกาะสีชัง

วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

รีวิว ร้านอาหารญี่ปุ่น อิซากายะ


          พูดถึงอาหารญี่ปุ่นเชื่อว่าน่าจะเป็นอาหารโปรดของใครหลาย ๆ คน ในปัจจุบันมีร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดมากมาย ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบในอาหารญี่ปุ่น ยิ่งเป็น "แซลมอนซาซิมิ" นี่ของโปรดเลย

          ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมจะมาแนะนำในวันนี้ ชื่อร้านว่า "อิซากายะ (IZAKAYA)" ร้านอิซากายะ ที่ผมไปทานอยู่ที่ "I'm Park"

          ซึ่ง I'm Park ก็อยู่แถวมหาวิทยาลัยจุฬา อยู่ในซอยเดียวกันกับ "ตลาดสามย่าน" หาได้ง่ายครับ

          ราคาบุฟเฟ่ต์ของร้านอิซากายะ จะมีอยู่ 3 ราคานะครับ เริ่มตั้งแต่ 499++ 699++ และ 899++ ถ้าถามว่า ราคามันต่างกันตรงไหน ผมก็สามารถบอกได้ว่า "เมนูจะมีให้เลือกมากขึ้นและดีขึ้น ตามราคาครับ"

          ผมเลือกแบบ 899++ เพราะจะทานได้ทุกเมนูในร้าน

          ที่นี่อาหารจะเสริมช้าหน่อย ถ้าให้ผมแนะนำ สั่งอาหารหลาย ๆ อย่าง ให้พอดีกับขนาดที่เราทานได้ก่อนเลยครับ จะได้ตัดปัญหาการรออาหารนาน ถ้าทานหมดแล้วค่อยสั่ง ผมเกรงว่าจะขาดตอนครับ



ปูนะจ๊ะ

ข้าวปั้นไข่ปลาแซลมอน

ข้าวปั้นชนิดต่าง ๆ

หอยสดมากครับ

ยำสาหร่าย

ชุดโปรดของผมเลยครับ ของสดและอร่อยมาก

ข้าวปั้นเอบิ อร่อยมากครับ

หอยเชลล์ผัดเนย

เมนูนี้จำชื่อไม่ได้ครับ แต่เป็นกุ้งแม่น้ำเผาครับ

ข้าวปั้นโรล

แซลมอนซาซิมิ

แก้มปลา ฮามาจิ

ปลาหมึกทอด

เมนูนี้จำชื่อไม่ได้ครับ

ถั่วแระญี่ปุ่น

แซลมอนซาซิมิ อีกจาน

เกี๊ยวซ่า

          รายการอาหารของที่ร้าน อิซากายะ ค่อนข้างเยอะครับ มีให้เลือกกันเป็นร้อยเมนูเลยทีเดียว ผมไปช่วงที่ร้านเปิด 11 โมงเช้า ของค่อนข้างสด ใหม่ และอร่อยครับ

          ตัวซาซิมิกุ้ง หวาน สดมากครับ ผมทานไปหลายตัวเลยทีเดียว เพราะร้านญี่ปุ่นที่ผมไปทานบ่อย ๆ ไม่ค่อยมี ซาซิมิกุ้ง สักเท่าไหร่ มาเจอที่นี่ที่แรกเลยค่อนข้างติดใจครับ

          แก้มปลาฮามาจิ อร่อยมากครับ เนื้อเยอะ แก้มใหญ่ ถูกใจจริง ๆ

          ปูนึ่ง ค่อนข้างเย็น ๆ และมีกินคาว ไม่ค่อยโดนใจสักเท่าไหร่ครับ

          โดยรวมแล้วอาหารค่อนข้างสดครับ แต่ราคาก็สูงอยู่เหมือนกัน ถ้าคิดว่า อยากลองทานแบบหรู ๆสักครั้งในชีวิต ก็ถือว่า โอเคล่ะครับ

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รีวิว กราบพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9


Related image

          ผมได้มีโอกาสไปกราบพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย. 60) ผมได้ไปตั้งแต่เช้า ไปถึงสนามหลวง ประมาณ 6 โมงเช้ากว่า ๆ เพราะบ้านผมไม่ไกลจากสนามหลวงสักเท่าไหร่

          ผมมีความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะไม่เคยมาแบบนี้มาก่อน เคยมาแต่เที่ยววัดพระแก้ว ไหว้พระศาลหลักเมือง หรือไหว้พระรอบเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วก็กลับ แต่คราวนี้แตกต่างจากทุกทีที่มา

          นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าในตัวพระราชวัง หมายความว่า เข้าไปลึกกว่าที่เคยมาเที่ยววัดพระแก้ว

          การมากราบพระบรมศพฯ ในครั้งนี้ ผมได้นั่งรถ Taxi มาลงที่กองฉลากเก่า แล้วเดินข้ามถนนมายังสนามหลวง

          สำหรับคนที่ยังไม่เคยมาเหมือนผม ก็ไม่ต้อง งง นะครับ จะมีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ครับ

          ซึ่งผมก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเช่นกันครับ ก็ได้เจ้าหน้าที่บอกครับ ว่าทางเข้ากราบพระบรมศพฯ อยู่ตรงไหน

          ทางเข้าที่จะไปกราบพระบรมศพฯ จะเป็นสะพานเหล็กอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมรัตนโกสินทร์

          สิ่งที่เราต้องเตรียมมาด้วย คือ บัตรประชาชนหรือใบขับขี่ก็ได้ครับ เพราะเราจะต้องแสดงบัตร เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นตัวเราต่อหน้ากล้องที่ติดอยู่ตรงบริเวณทางเข้าครับ

          เมื่อเข้ามาแล้ว ก็เดินตามทางที่ทางราชการจัดไว้ให้ครับ รับรองว่าไม่มีหลงทาง หรืองง แน่นอนครับ

          สำหรับสุภาพสตรีท่านใดที่เดินทางมากราบพระบรมศพฯ แต่ว่าใส่กางเกงมา ทางเจ้าหน้าที่จะมีบริการให้ยืมกระโปรงที่ถูกต้องกับการเข้ากราบพระบรมศพฯ นะครับ

          แต่ผมขอความกรุณา ถ้าสุภาพสตรีท่านใด ยืมกระโปรงกับทางเจ้าหน้าที่แล้ว เมื่อกราบพระบรมศพฯ เสร็จแล้ว ช่วยส่งคืนเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ เพื่อสุภาพสตรีท่านอื่นจะได้ยืมใส่ได้ครับ ผมไปยืนดูสถิติ ปรากฏว่า มีกระโปรงที่ให้ยืมไปแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้คืนก็เยอะครับ

          ระหว่างที่ผมเดินไปตามทาง ผมได้เห็นภาพที่น่าประทับใจ คือ ภาพของ ผู้หญิงที่ค่อนข้างมีอายุแล้วเดินไม่ไหว นั่งรถเข็นและมีลูก หลาน เข็นรถมาเพื่อเข้ากราบพระบรมศพฯ หรือภาพของชายหนุ่ม ที่ขาเจ็บพันผ้าพันแผลไว้ ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารช่วยเข็นรถเข็นให้เช่นกัน

          ภาพเหล่านี้ผมถือว่าเป็นภาพที่น่าประทับใจ เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และความรักที่มีต่อพ่อหลวงของเรา แม้สังขารจะไม่อำนวย แต่เป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต ผมคิดว่าทุกคนล้วนอยากมีโอกาสแบบนี้

          วันที่ผมไป คนไม่ค่อยเยอะนัก ทำให้การนั่งรอเพื่อเข้ากราบพระบรมศพฯ ไม่นาน ผมนั่งรออยู่ประมาณ 10-15 นาที ก็ได้เดินเข้ากราบพระบรมศพแล้วครับ

ระหว่างนั่งรอเข้ากราบพระบรมศพฯ

เดินเข้าสู่พระราชวังด้านใน


          เมื่อเข้ามาถึงพระราชวังด้านใน จะห้ามถ่ายรูป ท่านใดที่สะพายกระเป๋ามาด้วย ทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ เจ้าหน้าที่จะแจ้งว่า ห้ามสะพายกระเป๋าไว้บนบ่า แต่ให้เปลี่ยนมาถือในมือแทน เพื่อความสุภาพและตามกฏระเบียบของพระราชวัง

          ในส่วนของรองเท้า จะต้องถอดใส่ถุงดำที่เจ้าหน้าที่แจกไว้ให้ และเราก็ต้องถือไปด้วย เพือเป็นการกันหายหรือถูกขโมย

          เมื่อมาถึงหน้าพระบรมศพฯ ขั้นตอนนี้จะค่อนข้างรวดเร็วครับ เพราะในขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับความสวยงามของพระบรมโกฏิ ก็จะมีเสียงของเจ้าหน้าที่ พูดขึ้น "พนมมือ กราบ" เสร็จแล้วก็เดินออกอีกทาง เพื่อให้กลุ่มต่อไปได้เข้ามากราบ

          ตรงทางออก จะมีแจกพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ด้านหลังก็จะเป็นพระประวัติโดยย่อของท่าน

          เดินมาอีกหน่อย ก็จะมีเจ้าหน้าที่บริการน้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ และมีแจกโจ๊ก คัพ ให้ด้วย ด้านนอกพระราชวัง ก็มีการจัดซุ้มดอกไม้ไว้ให้ประชาชนถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วย สำหรับคนที่จะกลับไปที่ด้านหน้าสนามหลวง หรือไปที่กองฉลากเก่า ก็จะมีรถบัสไว้ให้บริการเช่นกัน

          ท่านใดยังไม่เคยได้ไป ผมแนะนำเลยนะครับ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตจริง ๆ ครับ