วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560

สงกรานต์นี้ที่ สยามสแควร์


          ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ได้มีเพื่อนของเพื่อนผมคนหนึ่งเดินทางไกลมาจาก จังหวัดนครพนม เพื่อที่จะมาลองเล่นสงกรานต์และบรรยากาศสงกรานต์ของ กรุงเทพฯ ว่าเป็นอย่างไร ในส่วนของทางเพื่อนผม ก็ได้ชวนผมไปเล่นด้วย ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้เล่นมานานหลายปีแล้วเช่นกัน ตั้งแต่มีประกาศว่า รถกะบะห้ามนำถังน้ำขึ้นรถ ตามความคิดผม ๆ ว่า การนำถังน้ำขึ้นรถกะบะแล้วมีคนนั่งอยู่หลังรถกะบะ ถึงแม้จะดูอันตราย แต่ก็เป็นความสนุกที่สุด ที่ผมเคยเล่นสงกรานต์มา แต่ในเมื่อการเล่นสงกรานต์บนกะบะหลัง ถือมเป็นการผิดกฏหมาย ก็ต้องยอมรับกันไปครับ

          ในเมื่อไม่ได้เล่นมาหลายปีแล้ว พอเพื่อนผมชวน ผมก็ไม่ปฏิเสธครับ ตอบรับด้วยความยินดี ยิ่งสถานที่ ๆ เพื่อนผมเค้าจะไปด้วยแล้ว ผมยิ่งยินดีที่จะไปเป็นอย่างยิ่งครับ

          สถานที่ ๆ จะไปเล่นน้ำสงกรานต์กันก็คือ สยามสแควร์ ครับ

          สงกรานต์ที่สยามสแควร์ปีนี้จัดภายใต้ชื่อที่ว่า "สงกรานต์เมษาผ้าขาวม้า ยกสยาม" ซึ่งจัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม และ ททท. จัดกันใจกลางสยามสแควร์เลยครับ ทางเข้าทุกทางจะมีการ์ดตรวจคนเข้าค่อนข้างเข้มงวดครับ คือ จะตรวจดูว่ามีเอาอาวุธมาด้วยไหม หรือถ้าเป็นผู้หญิง ถ้าแต่งตัวโป๊เกินไป หรือใส่กางเกงขาสั้นเกินไป ก็จะไม่ให้เข้านะครับ ต้องไปซื้อเสื้อที่ทางงานมีจัดขายให้ก่อน ถึงจะเข้าได้ครับ ถ้าคนใส่กางเกงสั้นเกินไป ก็จะมีผ้าขาวม้าขายให้ครับ หรือคนที่ใส่สายเดี่ยว ก็จะมีคล้าย ๆ เสื้อม่อฮ่อมขายเช่นเดียวกันครับ ตรงนี้ต้องขอชมเชยครับ การตรวจเข้มงวดดีครับ จะได้เล่นสงกรานต์ที่สนุก ไม่ใช่สงครามครับ

          ภายในงาน ก็จะมีการแสดงของศิลปิน ดารา นักร้อง ที่มาผลัดเปลี่ยนกันให้ความสนุกกับคนที่มาเล่นสงกรานต์ และ ไม่ได้มาเล่นสงกรานต์ครับ ซึ่งวันที่ผมไป (14 เมษา) เป็นคุณอี๊ด โปงลางสะออนมาครับ เห็นโฆษกประกาศว่า ช่วง 18.00 น. จะมีหน้ากากจิงโจ้ (คุณเป๊ก ผลิตโชค) มาให้ความบันเทิงกับคนที่มาเล่น และแฟนคลับหน้ากากจิงโจ้ด้วยครับ แต่ผมไม่ได้อยู่ดูนะครับ คนดูก็นั่งกันเป็นระเบียบเรียบร้อยมากครับ โดยแถวหน้า ๆ ประมาณ 4-5 แถว จะนั่งลงกับพื่น ส่วนด้านหลังก็จะยืนดูกัน แต่ก็ไม่มีการเบียดเสียด หรือ ดันกัน

          นอกจากจะมีศิลปิน นักร้อง นักแสดง ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์แล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์ที่คนฮือ ฮา เกรียวกราวกันก็คือ อุโมงค์น้ำ แต่ไม่ได้เปิดตลอดนะครับ จะเปิดเป็นรอบ ๆ ไปครับ อาจจะเปิดรอบหนึ่ง แล้วพักไปอีก 15-20 นาที ก็จะเปิดอีกครั้งครับ ผมโชคดีที่ตอนเดินเข้าไป อุโมงค์น้ำเปิดพอดี เลยได้เดินผ่าน ผ่านแบบไม่ต้องโดนใครใช้ปืนฉีดน้ำยิงเลยครับ แค่เดินเข้าไปในอุโมงค์น้ำ ก็เปียกหมดทั้งตัวแล้วครับ ทำให้อากาศร้อนในกลางเดือนเมษา เย็นขึ้นทันตาเห็นเลยครับ (อุโมงค์น้ำ ผมชอบมาก ๆ เสียดายเดินได้แค่รอบเดียวครับ เพราะตอนที่เปิดอุโมงค์น้ำ คนจะมาออกันเยอะเป็นพิเศษครับ)

          อีกสิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมในงาน ก็คือ การนำประเพณีอันดีงามของแต่ละท้องที่ ยกมาไว้ที่กลางสยามสแควร์ ทำให้สยามสแควร์ที่ผมรู้จัก เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยครับ อย่างเช่น ประเพณีแห่พระ ที่ผมเคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ ก็ได้มีการจัดเข้ามาอยู่ที่สยามสแควร์ด้วยครับ โดยจะมีพระพุทธรูปอยู่บนหลังรถกะบะ คนขับก็จะค่อย ๆ ขับผ่านอุโมงค์น้ำ ให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ได้ทำการสรงน้ำพระกัน (แต่เนื่องจากไม่มีการอนุญาติให้ใช้ขันน้ำในการเล่น ทำให้การสรงน้ำพระในตอนที่มีการแห่พระ จึงต้องใช้ปืนฉีดน้ำ ฉีดไปที่บนรถแทนครับ)

          นอกจากการแห่พระแล้ว ยังมีซุ้มสรงน้ำพระตามวันเกิด และสรงน้ำพระพุทธรูปด้วยครับ ซึ่งผมก็ไม่พลาดที่จะไปสรงน้ำพระประจำวันเกิดครับ เพื่อขอพรให้มีแต่สิ่งดี ๆ ให้เข้ามาในชีวิต มีซุ้มของทางภาคเหนือด้วยนะครับ แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นประเพณีอะไร ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วยครับ

          การเล่นน้ำของที่นี่ ก็จะเหมือนที่ สีลม และ ตรอกข้าวสาร คือ ไม่มีการเล่นแป้งครับ คนเล่นน้ำส่วนมากก็จะถือปืนฉีดน้ำไปกันครับ มีจุดบริการเติมน้ำฟรีด้วยครับ ตามถังที่ทางสถานที่จัดไว้ให้ ซึ่งเราสามารถเดินไปขอเติมน้ำได้เลยครับ ไม่เสียสักบาท คนไปเล่นก็เยอะครับ แต่ไม่แออัด เดินค่อนข้างสะดวกทีเดียวครับ ผมเดินไป กลับ ประมาณ 2 รอบ ก็ต้องบอกลาสถานที่แห่งนี้แล้วครับ เพื่อจะพาเพื่อนผู้มาจากแดนไกล ไปซึบซับบรรยากาศที่สีลม กันต่อครับ

          จากสยามสแควร์มาสีลม ไม่ไกลกันเท่าไหร่ครับ แต่คนนี่ต่างกันลิบลับเลยครับ 55 ทีแรกผมมาถึงแยก ศาลาแดง ผมได้คิดในใจว่า ปีนี้สีลมคนน้อยผิดปกติ หรืออาจจะเป็นได้ว่า มันยังไม่มืดมาก (ผมไปถึงที่สีลม ประมาณบ่าย 4 โมงกว่า ๆ ได้ครับ) แต่ถ้าผมเดินเข้าไปถึง BTS ศาลาแดง ผมรู้สึกตัวเลยว่า ผมได้คิดผิดไป สงกรานต์ที่สีลม คนยังคงคอนเซ็ปต์เดิมว่า เยอะ บริเวณทางเข้าถนนสีลม ที่ผมเห็นว่าคนน้อย มันเป็นสิ่งที่หลอกความคิดผมได้ซ่ะอย่างนั้น

          ผมได้เดินมาถึง BTS ศาลาแดง แล้วผมก็เดินขึ้น BTS เพื่อย้อนกลับ เนื่องจากว่า คนเยอะมาก จนไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว ระหว่างที่เดินลงบันได BTS ก็ได้ชี้ให้เพื่อนผู้มาจากแดนไกลของผมได้เห็นถึงคลื่นมหาชนที่ออกันอยู่ตรงใจกลางถนนสีลม ซึ่งผมเชื่อว่า ภาพแบบนี้คงจะแตกต่างจากที่ นครพนม แน่เลย

          การเล่นน้ำสงกรานต์ที่ถนนสีลม ก็ไม่มีการเล่นแป้งเช่นเดียวกันครับ จะเล่นด้วยปืนฉีดน้ำกันเป็นส่วนใหญ่ น้ำที่นี่จะเสียตังค์ในการเติมน้ำนะครับ และก็จะเป็นน้ำเย็น ซึ่งผมก็ งง ว่า ทำไมจะต้องเสียเงินเติมน้ำด้วยนะ และผมก็มาเข้าใจในภายหลังว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ จะสั่งเป็นน้ำแข็งก้อนใหญ่ ๆ มา และก็จะรอจนน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ ก็จะมาเติมให้กับคนที่อยากจะเติมน้ำในปืนฉีดน้ำเพื่อเล่นสงกรานต์ นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไมที่ถนนสีลม น้ำที่ถูกฉีดออกมาจากปลายกระบอกปืนฉีดน้ำ ถึงได้เป็นน้ำเย็น

                                             ภาพบรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ที่ถนนสีลม

                                             ภาพบรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ที่ถนนสีลม

          ผมหวังว่า เพื่อนของเพื่อนผม จะไ้ด้รับความสนุก และบรรยากาศ และความทรงจำที่ดี การเล่นน้ำสงกรานต์ในกรุงเทพฯ ซึ่งน่าจะต่างจากที่ นครพนม ตอนกลับผมได้แวะทานสเต็กด้วยครับ เอาไว้ผมจะมารีวิวสเต็กในครั้งหน้านะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

บุฟเฟ่ต์อาหารเกาหลี กับร้าน OPPAYA


          ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ตามประสาคนที่ไม่ได้ไปไหนอย่างผม บวกกับความโล่งของถนนกรุงเทพฯ ซึ่งจะมีนาน ๆ ครั้ง หรือเฉพาะช่วงเทศกาลที่สำคัญ ทำให้การเดินทางในกรุงเทพฯ ค่อนข้างสะดวกทีเดียว ผมกับน้องชายจึงวางแผนหาของกินกัน ตามประสาคนที่ไม่ได้ไปเที่ยว หรือมีบ้านที่ต่างจังหวัดให้กลับ (ผมเป็นคนกรุงเทพฯ แต่กำเนิด)

          แถวบ้านผมมีร้านบุฟเฟ่ต์อาหารเกาหลีอยู่ร้านหนึ่ง ซึ่งวันนั้นน้องผมก็นึกอยากกินอาหารเกาหลีขึ้นมา จึงได้ชวนผมมากินที่ร้านอาหารแห่งนี้ ซึ่งผมเคยมากินแล้วครั้งหนึ่งตอนที่ร้านเปิดใหม่

          **ร้านนี้มีชื่อว่า OPPAYA ครับ**

          ร้าน OPPAYA หาง่ายครับ อยู่ติดถนนใหญ่ ห่างจาก เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า มาไม่ไกลครับ เลยศาลพระศิวะ มานิดหน่อยครับ ถ้าจะเอาให้แคบอีกนิด ร้าน OPPAYA ก็อยู่ติดกับ The Sense ปิ่นเกล้า ครับ

          ร้านนี้เดิมทีเป็นร้านอาหารพิซซ่าสไตล์อิตาลีครับ ที่หน้าร้านยังมีล่องรอยของเตาอบพิซซ่าอยู่เลยครับ เป็นร้าน 2 ชั้น หน้าร้านจะมีป้ายบอกเมนูอาหาร เอาไว้สำหรับให้ลูกค้าเลือกดู เพื่อตัดสินใจได้ครับ

          ราคาบุฟเฟ่ต์ที่นี่ไม่แพงครับ คนล่ะ 219.- บาท เป็นราคาที่เน็ตแล้วนะครับ ไม่มี Service Chage เพิ่ม แต่ไม่รวมน้ำดื่มนะครับ (แต่ราคาน้ำจะสูงหน่อยครับ น้ำเปล่า ขวดล่ะ 15.-  น้ำอัดลม ขวดล่ะ 20.-)

          พอได้โต๊ะนั่ง พนักงานก็จะถามเราว่า เราจะรับเป็นแบบบุุฟเฟ่ต์ หรือ แบบจานเดียว (A la carte) ซึ่งผมก็เลือกเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ครับ (เมนูอาหารที่พนักงานนำมาให้ก็จะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ นะครับ ถ้าเป็นแบบจานเดียว ก็จะมีอีกเมนูครับ แต่พอดีผมเลือกเป็นบุฟเฟ่ต์ ก็เลยไม่รู้ว่าแบบจานเดียว เมนูจะเหมือนหรือต่างกันมากน้อยเพียงใดครับ)

          เมนูอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ จะมีรายการให้เลือกไม่ค่อยเยอะมากครับ จะมีประมาณ 18 รายการ ซึ่งเราชอบเมนูไหน ก็บอกพนักงานครับ พนักงานจะเป็นคนจดรายการอาหารที่เราเลือกให้

                                                                             ต๊กบ๊กกี

          ต๊กบ๊กกี เป็นอาหารที่ผมเลือกเป็นจานแรกเลยครับ เพราะยังติดใจกับรสชาติจากครั้งแรกที่มากิน เส้นที่เหนียวนุ่ม กับน้ำซอสที่ค่อนข้างเผ็ดนิด ๆ (ซอส เป็นตามความเห็นผมนะครับ เพราะผมไม่ทานเผ็ด ผมเคยคิดว่ามันเผ็ด ถ้าคนที่ชอบทานเผ็ด อาจจะบอกว่า ไม่เผ็ดก็ได้นะครับ ^^) ต๊กบ๊กกี ของร้าน OPPAYA ค่อนข้างอร่อยนะครับ ค่อนข้างจะลงตัวทีเดียว ผมเคยกิน ต๊กบ๊กกี ของร้าน DOMA จะเป็น     ต๊กบ๊กกี ที่แช่เย็นมาให้ แล้วให้เรามาย่างเอง รสชาติก็จะจืด ๆ เส้นก็จะแข็ง ๆ หน่อยครับ (ร้าน DOMA เป็น บุฟเฟ่ต์แบบปิ้งย่างสไตล์เกาหลีครับ) พอมาเจอของร้านนี้ ผมคิดว่ามันค่อนข้างอร่อยและลงตัวมากกว่าครับ (อาจจะมีของร้านอื่นที่อร่อยเช่นกัน แต่ผมยังไม่เคยไปลองนะครับ)

                                                                          ซุปเกี๊ยวน้ำ

          ซุปเกี๊ยวน้ำ ผมสั่งซุปนี้ไป 2 ที่่ ตามความคิดผมคิดว่าจะมา 2 ถ้วย แต่มาแค่ถ้วยเดียว ผมก็งงครับ คิดว่าพนักงานอาจเขียนผิด แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ สุดท้ายมาถึงบางอ้อครับ ที่สั่ง 2 หมายความว่า 1 คน ต่อ เกี๊ยว 2 ชิ้นครับ เพราะฉนั้น ผมสั่งไป 2 จึงได้เกี๊ยว 4 ชิ้นครับ น้ำซุปจะออกเค็มนิด ๆ และมีใส่ไข่ลงในซุปด้วย แผ่นเกี๊ยวสไตล์เกาหลี จะแผ่นใหญ่กว่าของไทยครับ สีจะออกเขียวนิด ๆ ครับ ดูเผิน ๆ ทีแรก ผมคิดว่า มะละซะอีก 555 ภายในเกี๊ยวก็จะห่อด้วยหมูสับครับ รสชาติอร่อยดีครับ

                                                              ไก่ทอดแบบเผ็ดและหวาน

          ไก่ทอด มีทั้งแบบเผ็ดและแบบหวานครับ ด้านบนจะโรยด้วยงาขาว รสชาติจะกรอบ ๆ หน่อยครับ เมนูนี้ คนหนึ่งจะได้ประมาณ 2 ชิ้นนะครับ รู้นึกว่าจะจำกัดที่คนล่ะ 4 ชิ้นครับต่อการสั่ง 1 ครั้งนะครับ ถ้าชอบก็สามารถสั่งเพิ่มได้อีกครับ

                                                                       ไก่ผัดมันฝรั่ง

          เมนูนี้ผมไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไรนะครับ แต่ผมขอตั้งชื่อว่า ไก่ผัดมันฝรั่ง แล้วกันนะครับ แหะ ๆเนื่องจากลืมจดชื่ออาหารมาจริง ๆ ครับ จะเป็นเนื้อไก่หั่นชิ้นเล็ก ๆ ผัดกับมันฝรั่ง หรือ มันเทศ นี่แหละครับ โรยด้วยผักแต่งหน้า เนื้อไก่กับมัน ผัดได้เข้ากันดีครับ แต่ก็แอบเลี่ยน ๆ เช่นกันครับ
                                                         
                                                  ไก่ผัดวุ้นเส้น (ลืมจดชื่อเมนูอีกแล้ว T T)    

          เมนูนี้กระผมก็ลืมจดชื่อเช่นกันครับ แต่เป็นเนื้อไก่ผัดกับวุ้นเส้นครับ มีผักกับงาขาวโรยหน้านิดหน่อย กินจานแรกอร่อยดีครับ รสชาติจะออกเค็มหน่อย ๆ ถูกใจครับ (ผมชอบกินเค็มหน่อย) จึงสั่งมาอีกจานครับ จานที่สองมา รสชาติจืดเลยครับ ทำให้รู้ว่า คนผัดคนล่ะคนกันครับ อิอิ ผมจึงลงความเห็นว่า จานแรกอร่อยกว่า ครับ


                                                                  ไข่ม้วนสไตล์เกาหลี

          ไข่ม้วน ครับ ข้างบนจะราดด้วยซอส รสชาติจะเหมือนออมเร็ตตามโรงแรมครับ ไม่เหมือนไข่ม้วนสไตล์ญี่ปุ่นที่จะออกหวาน ๆ หน่อยครับ

          มีอีกประมาณ 2 เมนู ที่ผมไม่ได้ถ่ายภาพมาด้วยครับ เนื่องจากกำลังอิ่ม จึงนั่งพัก ปล่อยให้น้องชายผมสั่งเอง กินเองครับ สิ่งที่น้องชายผมสั่งจะเป็นเหมือนเส้นมาม่าบ้านเรา อยู่ในน้ำต้มยำ เค้าจะมีชื่อทางเกาหลี แต่ผมไม่ทราบว่าเรียกว่าอะไรนะครับ พอน้องผมสั่งมา ก็อุทานมาคำแรกว่า "นี่มันมาม่าต้มยำบ้านเราดีหว่า" 555 แต่เนื่องจากผมไม่ได้ทานครับ จึงไม่ทราบว่ารสชาติมาม่าต้มยำสไตล์เกาหลี จะเหมือนกับมาม่าต้มยำบ้านเราหรือเปล่า

          อีกเมนู จะเป็นเส้นเหมือนเส้นหมี่เหลืองบ้านเราครับ จะราดด้วยซอสสีดำ ๆ หวาน ๆ ข้น ๆ และมีเนื้อหมูอยู่ด้วย คล้าย ๆ หมูหวานบ้านเราครับ ผมตั้งชื่อภาษาไทยว่า เส้นหมี่หมูหวานครับ ^^ รสชาติก็แปลกดีครับ แต่ยังไม่โดนใจเท่าไหร่ครับ

          สไตล์อาหารของร้าน OPPAYA จะคล้าย ๆ กับว่า เราสั่งกับข้าวมากินครับ เพราะมาแต่ล่ะจาน ปริมาณค่อนข้างพอสมควร ไม่ใช่มาแบบให้เราชิมเล่น ถ้าไปกันน้อย สั่งมา 2-3 ชุด ผมว่าก็อิ่มได้เช่นกันครับ ในรายการอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ก็มีข้าวสวยให้ด้วยนะครับ เป็นข้าวสวยสไตล์เกาหลี แต่ผมไม่ได้สั่งครับ เลยไม่รู้ว่า จะเหมือนข้าวญี่ปุ่นที่เคยกินไหม ถ้าไปกันเยอะ สั่งมาอย่างล่ะจาน ก็พอจะเหมือนชิมได้บ้างครับ ว่าเมนูไหนควรสั่งเพิ่มต่อ

          โดยรวมรสชาติอาหารของร้านก็เหมาะสมกับราคาครับ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับคนที่เบื่อบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น หรือว่า ชาบู ยังไงก็แนะนำให้ลองไปทานกันดูนะครับ

วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2560

อีกครั้ง อีกครั้ง และ อีกครั้ง กับ ชาบู อินดี สาขา ปิ่นเกล้า


          ช่วงสาย ๆ ของวันอาทิตย์วันหนึ่งในเดือน มี.ค. ขณะที่ผมกำลังวางแผนในเรื่องปากท้อง ของผมในวันนี้ (ก็เรื่องการกินนั่นแหละ อิอิ) ทันใดนั้น ไลน์ของผมก็ดังขึ้น ผมได้แต่คิดว่า เพื่อนผมคนไหนกันนะที่ไลน์มาหาผมในช่วงสายของวันหยุดแบบนี้ สักพักผมก็คิดขึ้นได้ว่า เพื่อนผมคนไหนที่ไลน์มาหาผม ผมได้หยิบโทรศัพท์ผมขึ้นมาอ่านไลน์ ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่า คงไม่ใช่เพื่อนผมคนนั้นแน่ ๆ แต่แล้วคำภาวนาของผมก็ไม่สัมฤทธิ์ผล ตัวอักษรในไลน์ที่อยู่เบื้องหน้าของผม มันคือเพื่อนผมคนนั้นจริง ๆ ผมได้รู้ชะตากรรมของผมแล้วว่า ผมจะเจอกับอะไรในตอนเย็นของวันนี้ ข้อความในไลน์ที่เพื่อนผมส่งมานั้น มีใจความว่า

          "เย็นนี้ว่างไหม ไปกินชาบูกัน" (แป่ว!! เขียนซะตื่นเต้นเลย หุหุ)

          ท่านผู้อ่านคงคิดว่า ผมจะกลัวทำไม แค่เพื่อนชวนกินชาบู แต่ท่านผู้อ่านคงไม่ทราบว่า เพื่อนผมคนนี้ แกชอบกินชาบูเป็นชีวิตจิตใจ แล้วแกชวนผมกับน้องชายผมกินชาบูค่อนข้างบ่อย เฉลี่ย เดือนล่ะ 1-3 ครั้ง แล้วกินกันทุกเดือน เพื่อนผมคนนี้ชอบกินอะไรที่มันถูก ๆ และได้เยอะ ๆ เรียกว่า กินมื้อหนึ่งขอให้คุ้มเลย ก็ว่าได้ ซึ่งในสมัยก่อน ผมได้พาเพื่อนผมไปกินสเต็กสามย่าน ผมเห็นว่าดีเลยบอกต่อ แต่ผมไม่คิดว่า มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกินอะไรบ่อย ๆ เพื่อนผมถ้ารู้ว่า ถูก!! เยอะ!! แกก็จะกินแต่แบบนั้นบ่อย ๆ ตอนที่เพื่อนผมแกได้ลองลิ้มรสสเต็กสามย่าน แกติดใจอย่างหนัก ชวนผมไปกินทุกสัปดาห์ จนผมเอียนสเต็กไปสักพักใหญ่ ๆ พอมาคราวนี้สเต็กแกเริ่มเบื่อล่ะ มาติดใจชาบูแทน เพราะฉนั้น ตอนที่ผมได้เห็นไลน์ที่เพื่อนผมชวนกินชาบู ผมก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตอบตกลง และนี่ก็เป็นที่มาของรีวิวนี้ครับ

          ชาบูที่ผมและเพื่อนผมชอบไปกินกัน คือ ชาบูอินดี้ ครับ เนื่องจากว่า ราคาไม่แพงเกินควร และ นั่งได้ไม่จำกัดเวลา ซึ่งข้อหลังเข้าทางเพื่อนผมมากสุด (ถ้าเป็นชาบูแบบจำกัดเวลา แกจะไม่กินครับ เพราะแกบอกว่า เหมือนมีเวลามาคอยจำกัดเรา ทำให้ต้องรีบกิน แทนที่จะนั่งกินกันไปเรื่อย ๆ)

          ชาบูอินดี้ สาขา ปิ่นเกล้า จะอยู่ในปั๊มน้ำมันที่ไม่ใช้แล้ว ปั๊มน้ำมันจะอยู่ตรงข้ามกับ เทสโก้ โลตัส ปิ่นเกล้า ครับ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่ามันมี ชาบู อยู่ในปั๊มน้ำมันด้วย ซึ่งถ้าไม่ใช่คนในท้องที่ ก็จะไม่รู้ครับ ผมมารู้ก็ตอนช่วงเทศกาลกินเจ เนื่องจากว่า ข้างร้าน ชาบูอินดี้ จะมีร้านอาหารเจอยู่ ผมจึงได้รู้จักกับ ชาบูอินดี้ สาขา ปิ่นเกล้า ครับ (ผมไม่มั่นใจว่า เรียกว่า สาขาปิ่นเกล้ารึเปล่านะครับ ผมเรียกตามย่านที่ร้านเปิด ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยครับ)

          จริง ๆ ที่ สาขาปิ่นเกล้า ผมเคยมาทานแล้วหลายครั้ง (นับจากนี้ต่อไป คงจะทุกเดือน 555) เวลาเปิด - ปิด ของสาขานี้ จะเปิดตั้งแต่ 16.00 น. เป็นต้นไป ส่วนเวลาปิด ผมไม่มั่นใจว่า 4 ทุ่ม หรือ 5 ทุ่ม

          ชาบู อินดี้ ที่ปิ่นเกล้า จะมีอยู่ 2 โซนด้วยกัน คือ โซนพัดลม กับ โซนแอร์ ซึ่งลูกค้าส่วนมากก็จะเลือกนั่งโซนแอร์มากกว่า ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น อิอิ นอกจากโซนแอร์เต็ม ลูกค้าก็จะนั่งในส่วนของโซนพัดลม แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าบางท่าน ที่อาจจะไม่ชอบนั่งในโซนแอร์ อาจจะด้วยบรรยากาศที่ถ่ายเทไม่ค่อยสะดวกเหมือนกับโซนพัดลม (ซึ่งเวลาผมไปกินสเต็กสามย่าน ผมก็ไม่เลือกนั่งในห้องแอร์ เช่นกัน เพราะลูกค้าบางท่านสั่ง มิคกิวกะทะร้อนมา ควันจะโขมงมาก และถ้านั่งในห้องแอร์ อากาศก็จะไม่ค่อยถ่ายเถควันที่โขมงมาจากกะทะร้อน)

          พนักงานของที่ชาบู อินดี้ สาขา ปิ่นเกล้า ค่อนข้างบริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึงครับ อย่างที่ผมไปมาล่าสุด มีลูกค้า 6 ท่าน นั่งอยู่ในโซนร้อน แต่พนักงานก็ไม่ปล่อยให้ลูกค้าร้อน นำเอาพัดลม 2 ตัว มาจ่อให้กับลูกค้า เพราะกลัวลูกค้าร้อน ซึ่งผมเห็นแล้วก็ชื่นชมพนักงานของที่นี่อยู่ในใจครับ กับการดูแล เอาใจใส่ต่อลูกค้า

          น้ำซุปของสาขา ปิ่นเกล้า แรกเริ่มเดิมที จะมีแต่น้ำใส แต่ปัจจุบันมีน้ำข้น มาให้เป็นอีก 1 ตัวเลือก สำหรับคนที่อยากลองของใหม่ แต่ผมยังไม่เคยลองน้ำข้นครับ เลยไม่สามารถบอกได้ว่า ดีหรือไม่ดี เพียงใด


                                              ซุปน้ำในของทางร้าน กำลังร้อนได้ที่เลยครับ

                                                 มากันครบเลยครับทั้งผัก ไข่ และเนื้อสัตว์

          น้ำดื่มที่นี่่ ก็จะมีทั้งน้ำเปล่า และ น้ำรีฟีล ถ้าเป็นน้ำเปล่าก็จะไม่ได้เป็นแบบฟรีนะครับ จะมีการคิดราคาตามขวดที่เราได้เปิดใช้ น้ำรีฟีล แรกเริ่ม มีแต่น้ำชามะนาว แต่ปัจจุบันได้มีการเพิ่มน้ำ Pepsi เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของน้ำรีฟีลด้วยครับ

          น้ำ Pepsi จะไม่ค่อยซ่าสักเท่าไหร่นะครับ ส่วนน้ำชามะนาว หวานหน่อยครับ แต่ก็อร่อยดีครับ

                                                               
                                                                น้ำจิ้มสุกี้ที่ผมชอบครับ

          น้ำจิ้มของที่นี่่ จะมีแบบซีฟู้ดส์ กับ แบบสุกี้ ผมชอบแบบสุกี้ครับ ผมว่ามันอร่อยดี ส่วนซีฟู้ดส์ ผมไม่เคยลองนะครับ เพราะผมเป็นคนไม่ทานเผ็ดครับ น้ำจิ้มซีฟู้ดส์ผมเลยไม่ได้ลองครับ

                                                                หมึกสดรอลงหม้อครับ

          ในส่วนของรายการอาหาร สาขา ปิ่นเกล้า ผมคิดว่าค่อนข้างน้อยครับ ถ้าเทียบกับ สาขา มหาชัย ที่ผมเคยไปทานมา ของหวานของทางร้าน ก็คือ ไอติม ครับ ถ้าเป็นสาขา ปิ่นเกล้า ไอติม จะมีบริการที่โซนพัดลม ครับ เราต้องบริการตัวเองนะครับ แต่ทางสาขา มหาชัย ถ้าเราต้องการไอติม เราสามารถที่สั่งกับพนักงานได้เลยครับ เค้าจะตักมาให้เรา เราเพียงแค่ระบุรสชาติที่ทางร้านมีว่าต้องการรสชาติไหน กี่ลูก สักพักพนักงานก็จะจัดมาให้ครับ

          ทางด้านการบริการของพนักงาน สาขา ปิ่นเกล้า และสาขา มหาชัย ค่อนข้างที่จะบริการได้ทั่วถึงครับ ทางปิ่นเกล้าร้านจะเล็กกว่าของทางมหาชัยครับ พนักงานทั้ง 2 สาขา ที่ผมเคยไปมา จะสอดส่องดูแลให้ตลอดครับ น้ำรีฟีลแทบไม่เคยขาดเลยครับ เห็นว่าจะหมดปุ๊บ พนักงานจะรีบเติมให้ทันทีครับ แทบไม่ต้องร้องขอเลย จะมีก็แต่น้ำจิ้มที่จะหมดต้องร้องขอครับ เพราะว่าพนักงานอาจจะไม่ได้สังเกตุครับ อันนี้สำหรับผมแล้ว ไม่ว่ากันครับ

          โดยรวมแล้ว ชาบู อินดี้ เป็นชาบูที่ผมชื่นชอบที่สุดแล้วครับ ณ ตอนนี้ ด้วยราคาที่ไม่แพงเกินไป กับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ (ราคาชาบูอินดี้ 249 บาท น้ำรีฟีล 35 รวมแล้ว 284 บาท นี่เป็นราคาที่เน็ตแล้วนะครับ ไม่มีบวกVat หรือ Service Charge เพิ่ม แถมไม่จำกัดเวลาอีก ผมว่าราคานี้ก็โอเคแล้วครับ) ผมได้สอบถามทางพนักงานว่า จะมีระบบ Member Card ไหม ไหน ๆ ผมก็มาทุกเดือน ผมก็สมัครซ่ะเลย อิอิ พนักงานตอบว่า กำลังดำเนินการจัดทำระบบ Member Card อยู่ ซึ่งถ้ามี ผมคิดว่า เพื่อนผมคงชวนผมไปบ่อยกว่าเดิมแน่นอนครับ