วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รีวิว กราบพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9


Related image

          ผมได้มีโอกาสไปกราบพระบรมศพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย. 60) ผมได้ไปตั้งแต่เช้า ไปถึงสนามหลวง ประมาณ 6 โมงเช้ากว่า ๆ เพราะบ้านผมไม่ไกลจากสนามหลวงสักเท่าไหร่

          ผมมีความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะไม่เคยมาแบบนี้มาก่อน เคยมาแต่เที่ยววัดพระแก้ว ไหว้พระศาลหลักเมือง หรือไหว้พระรอบเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วก็กลับ แต่คราวนี้แตกต่างจากทุกทีที่มา

          นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าในตัวพระราชวัง หมายความว่า เข้าไปลึกกว่าที่เคยมาเที่ยววัดพระแก้ว

          การมากราบพระบรมศพฯ ในครั้งนี้ ผมได้นั่งรถ Taxi มาลงที่กองฉลากเก่า แล้วเดินข้ามถนนมายังสนามหลวง

          สำหรับคนที่ยังไม่เคยมาเหมือนผม ก็ไม่ต้อง งง นะครับ จะมีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ครับ

          ซึ่งผมก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเช่นกันครับ ก็ได้เจ้าหน้าที่บอกครับ ว่าทางเข้ากราบพระบรมศพฯ อยู่ตรงไหน

          ทางเข้าที่จะไปกราบพระบรมศพฯ จะเป็นสะพานเหล็กอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมรัตนโกสินทร์

          สิ่งที่เราต้องเตรียมมาด้วย คือ บัตรประชาชนหรือใบขับขี่ก็ได้ครับ เพราะเราจะต้องแสดงบัตร เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นตัวเราต่อหน้ากล้องที่ติดอยู่ตรงบริเวณทางเข้าครับ

          เมื่อเข้ามาแล้ว ก็เดินตามทางที่ทางราชการจัดไว้ให้ครับ รับรองว่าไม่มีหลงทาง หรืองง แน่นอนครับ

          สำหรับสุภาพสตรีท่านใดที่เดินทางมากราบพระบรมศพฯ แต่ว่าใส่กางเกงมา ทางเจ้าหน้าที่จะมีบริการให้ยืมกระโปรงที่ถูกต้องกับการเข้ากราบพระบรมศพฯ นะครับ

          แต่ผมขอความกรุณา ถ้าสุภาพสตรีท่านใด ยืมกระโปรงกับทางเจ้าหน้าที่แล้ว เมื่อกราบพระบรมศพฯ เสร็จแล้ว ช่วยส่งคืนเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ เพื่อสุภาพสตรีท่านอื่นจะได้ยืมใส่ได้ครับ ผมไปยืนดูสถิติ ปรากฏว่า มีกระโปรงที่ให้ยืมไปแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้คืนก็เยอะครับ

          ระหว่างที่ผมเดินไปตามทาง ผมได้เห็นภาพที่น่าประทับใจ คือ ภาพของ ผู้หญิงที่ค่อนข้างมีอายุแล้วเดินไม่ไหว นั่งรถเข็นและมีลูก หลาน เข็นรถมาเพื่อเข้ากราบพระบรมศพฯ หรือภาพของชายหนุ่ม ที่ขาเจ็บพันผ้าพันแผลไว้ ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารช่วยเข็นรถเข็นให้เช่นกัน

          ภาพเหล่านี้ผมถือว่าเป็นภาพที่น่าประทับใจ เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และความรักที่มีต่อพ่อหลวงของเรา แม้สังขารจะไม่อำนวย แต่เป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต ผมคิดว่าทุกคนล้วนอยากมีโอกาสแบบนี้

          วันที่ผมไป คนไม่ค่อยเยอะนัก ทำให้การนั่งรอเพื่อเข้ากราบพระบรมศพฯ ไม่นาน ผมนั่งรออยู่ประมาณ 10-15 นาที ก็ได้เดินเข้ากราบพระบรมศพแล้วครับ

ระหว่างนั่งรอเข้ากราบพระบรมศพฯ

เดินเข้าสู่พระราชวังด้านใน


          เมื่อเข้ามาถึงพระราชวังด้านใน จะห้ามถ่ายรูป ท่านใดที่สะพายกระเป๋ามาด้วย ทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ เจ้าหน้าที่จะแจ้งว่า ห้ามสะพายกระเป๋าไว้บนบ่า แต่ให้เปลี่ยนมาถือในมือแทน เพื่อความสุภาพและตามกฏระเบียบของพระราชวัง

          ในส่วนของรองเท้า จะต้องถอดใส่ถุงดำที่เจ้าหน้าที่แจกไว้ให้ และเราก็ต้องถือไปด้วย เพือเป็นการกันหายหรือถูกขโมย

          เมื่อมาถึงหน้าพระบรมศพฯ ขั้นตอนนี้จะค่อนข้างรวดเร็วครับ เพราะในขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับความสวยงามของพระบรมโกฏิ ก็จะมีเสียงของเจ้าหน้าที่ พูดขึ้น "พนมมือ กราบ" เสร็จแล้วก็เดินออกอีกทาง เพื่อให้กลุ่มต่อไปได้เข้ามากราบ

          ตรงทางออก จะมีแจกพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ด้านหลังก็จะเป็นพระประวัติโดยย่อของท่าน

          เดินมาอีกหน่อย ก็จะมีเจ้าหน้าที่บริการน้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ และมีแจกโจ๊ก คัพ ให้ด้วย ด้านนอกพระราชวัง ก็มีการจัดซุ้มดอกไม้ไว้ให้ประชาชนถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วย สำหรับคนที่จะกลับไปที่ด้านหน้าสนามหลวง หรือไปที่กองฉลากเก่า ก็จะมีรถบัสไว้ให้บริการเช่นกัน

          ท่านใดยังไม่เคยได้ไป ผมแนะนำเลยนะครับ เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตจริง ๆ ครับ


วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รีวิว Prison Break 5


Prison Break 5

Related image

          ถือได้ว่าเป็น Series ที่ผมรอคอย หลังจากที่ผมได้ยินข่าวว่า จะสร้าง Seasons 5 กับ Prison Break และผมคิดว่า นี่คือ Series ในดวงใจของใครหลาย ๆ คนครับ รวมถึงตัวผมเองด้วย

          ถ้าใครได้ดู Prison Break ตั้งแต่ Seasons 1 น่าจะรู้ว่า Series นี้ สนุกแค่ไหน แค่พล็อตเรื่องของการแหกคุก ผมว่ามันก็น่าสนุกแล้ว

          ในตอนสุดท้ายของ Seasons พิเศษ จะกล่าวว่า ไมเคิล สกอร์ฟิลด์ ได้ตายจากไป (ถ้าใครยังไม่เคยดู และมาอ่านที่ผมเขียนก่อน ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ต้องสปอยเนื้อเรื่องตรงจุดนี้) จากการโดนระเบิด หลังจากที่ได้ช่วยภรรยาสุดที่รัก ซาร่า แหกคุกได้สำเร็จ

          ใน Seasons 5 ก็จะกล่าวต่อจาก Seasons พิเศษ ว่าแท้จริงแล้ว ไมเคิล สกอร์ฟิลด์ ยังไม่ได้ตาย แต่ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งการที่ยังมีชีวิตอยู่ของ ไมเคิล สกอร์ฟิลด์ เพราะว่าตัว ไมเคิล เอง ได้ทำงานให้กับองค์กร ๆ หนึ่ง

          เนื้อเรื่องย่อ ของ Prison Break Seasons 5 ผมจะเล่าแบบย่อ ๆ โดยที่ไม่สปอยเนื้อเรื่องมากนักนะครับ เนื้อเรื่องย่อมีอยู่ว่า

          "ตัวของ ลินคอร์น เบอร์โรว์ ซึ่งเป็นพี่ชายของไมเคิล สกอร์ฟิลด์ ได้รับจดหมายจาก ทีแบ็ค ในเนื้อความจดหมาย เป็นรหัสลับ พร้อมทั้งภาพของ ไมเคิล สกอร์ฟิลด์ ทำให้ ลินคอร์น เบอร์โรว์ ค้นหาว่า แท้จริงแล้ว ชายในภาพใช่ ไมเคิล สกอร์ฟิลด์ จริงไหม และถ้าใช่ ตัวไมเคิล อยู่ที่ใด เมื่อได้ทราบความจริงแล้ว จึงได้เข้าไปช่วยเหลือ ไมเคิล สกอร์ฟิลด์"

          เนื้อเรื่องใน Seasons 5 ค่อนข้างสนุกครับ ดูจบตอนหนึ่งแล้ว ก็อยากดูตอนต่อไปอีก ความรู้สึกจะคล้าย ๆ กับตอนดู Seasons 1 ครับ (เป็นความรู้สึกส่วนตัวผมนะครับ)

          คนเขียนบทใน Seasons 5 ผมว่าค่อนข้างเขียนได้อย่างชาญฉลาด ยิ่งช่วงหลัง ๆ สู้กันด้วยกลเม็ด ทำให้คนดูอย่างเรา ๆ ลุ้น และได้เห็นความฉลาดของ ไมเคิล สกอร์ฟิลด์ ที่คนเขียนบทปรุงแต่งให้ฉลาดสุด ๆ

          ผมคอยลุ้นอยู่ตลอดว่า เบอร์โรว์ จะช่วยเหลือ ไมเคิล ด้วยวิธีใด เพราะตัว เบอร์โรว์ เอง ไม่ค่อยถนัดใช้สมอง เหมือนกับ ไมเคิล ครับ และลุ้นอีกด้วยว่า ใครคือคนบงการเรื่องนี้

          โดยรวมแล้วหนังค่อนข้างสนุก ใครเป็นแฟน Series นี้ ผมแนะนำว่า ห้ามพลาดนะครับ

วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ว่าด้วยเรื่องของภาษา


          

          ผมได้อ่าน 10 ภาษาที่เรียนยากที่สุดในโลก จากเพจ ๆ หนึ่งใน Facebook ซึ่งภาษาอังกฤษ เรียนยากเป็นอันดับ 9 ของโลก ภาษาญี่ปุ่น เรียนยากเป็น อันดับ 5 ของโลก ภาษาจีน เรียนยากเป็นอันดับ 2 หรือ 3 ของโลก (ผมจำไม่ได้อย่างแน่ชัดว่า ภาษาจีน อยู่อันดับที่เท่าไหร่ แต่อยู่ต้น ๆ ครับ)

          ซึ่งผมก็อยากจะแชร์ประสบการณ์การที่ผมเคยเรียนมาทั้ง 3 ภาษานะครับ คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาจีน

          ภาษาอังกฤษ ผมคงไม่ต้องพูดถึงมากนัก เพราะผมเชื่อว่า ทุกท่านเคยผ่านประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษกันมาแล้ว ได้รู้ว่า กริยา 3 ช่อง เป็นยังไง Tense ทั้ง 12 Tense มีอะไรบ้าง มีวิธีการใช้อย่างไร ซึ่งผมก็ต้องยอมรับตามตรงว่า Tense ทั้ง 12 Tense ผมก็จำได้ไม่หมดเช่นกันครับ

          ภาษาจีน ปัจจุบันผมก็ยังเรียนอยู่ ในบทความที่บทอ่านจาก Facebook คนเขียนได้บอกว่า ภาษาจีน ยากในการออกเสียง ซึ่งผมว่า "จริง" ครับ

          ในตอนแรกที่ผมเรียนภาษาจีน ผมก็มีปัญหาเกี่ยวกับการออกเสียงภาษาจีนบางคำ ที่ยังออกได้ไม่ชัดเจน แต่พอผมได้เรียนไปสักประมาณ 3-4 คอร์ส ปัญหานี้ก็ทุเลาลงไปครับ แต่ก็ยังไม่หมดไปซะทีเดียว ต้องเรียนไปเรื่อย ๆ ครับ จนลิ้นเริ่มชินกับการออกเสียง

          เหตุที่ทำให้ภาษาจีนออกเสียงยาก ตามความคิดผมคิดว่าน่าจะมาจาก ภาษาจีน จะถูกกำกับด้วยวรรณยุกต์ (ภาษาจีน มีวรรณยุกต์ 4 เสียง คือ สามัญ จัตวา เอก โท) ซึ่งอาจจะไม่คุ้นกับคนไทย หรือคนต่างชาติที่ไม่ใช่คนจีนครับ

          ภาษาจีน นอกจากจะออกเสียงยากแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่ยากไม่แพ้กันก็คือ การเขียน ครับ เพราะภาษาจีน พัฒนามาจาก ตัวอักษรรูปภาพ โดยส่วนมากแล้ว 1 ตัวอักษร ก็จะมีความหมายของตัวมันเองครับ และการเขียนภาษาจีน ก็ต้องอาศัยการจำเข้ามาช่วยด้วย ภาษาจีนมีตัวอักษรเป็นพันนะครับ ประมาณ 4,000 กว่าตัว น่าจะได้ครับ แต่ใช้บ่อยก็ประมาณ 2,000 กว่าตัวครับ คิดแค่นี้ก็ท้อแล้วครับ

          ตัวอักษรภาษาจีน จะมี 2 ชนิดนะครับ แบบที่เป็นตัวเต็ม และ แบบที่เป็นตัวย่อ จะแตกต่างกันตรงที่ ถ้าเป็นตัวเต็ม จะใช้ที่ ประเทศไต้หวัน แต่ถ้าตัวย่อ จะใช้ที่ ประเทศจีน แต่คนที่เรียนภาษาจีนในปัจจุบัน ส่วนมากแล้วก็จะเรียนเป็นตัวย่อครับ ตัวย่อจะเขียนง่ายกว่าตัวเต็มครับ ขีด เส้น จะน้อยกว่า และตัวอักษรแบบย่อ ก็จะไม่เหมือนแบบเต็ม ครับ ไม่เหมือนบางตัวนะครับ ไม่ใช่ทุกตัว

          แต่สิ่งหนึ่งที่ภาษาจีนดูง่ายก็คือ มีส่วนคล้ายกับภาษาไทยครับ นอกจากนั้นแล้ว ภาษาจีน ยังไม่มีการผันรูป ปัจจุบัน อดีต อนาคต เหมือนกับภาษาอังกฤษ รูปประโยคอดีต ก็ใส่คำว่า "แล้ว" "เมื่อก่อน" ฯ หรือศัพท์ที่บ่งบอกว่ามันเป็นอดีต ซึ่งตรงนี้จะคล้ายกับภาษาไทยครับ

          ในส่วนของภาษาญี่ปุ่น เท่าที่ผมเรียนมา ใน 3 ภาษา อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ภาษาญี่ปุ่นนี่ยากที่สุดแล้วครับ แค่ตัวคาตากานะ ฮิรานางะ ก็ต้องจำเป็นร้อยตัวแล้วครับ นี่ยังไม่รวมต้องจำตัวคันจิอีกนะครับ ตัวคันจิ ที่ญี่ปุ่นยืมมาจากจีน ก็น่าจะขึ้นหลักพันตัวค แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอนนะครับ

          ตัวคันจิในภาษาญี่ปุ่น บางที 1 ตัวอักษร สามารถอ่านได้ 2-3 เสียง เลยนะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับรูปประโยค ว่าจะอ่านว่าอะไรในประโยคนั้น ๆ

          ยังมีการผันรูป ปัจจุบัน อดีต อนาคต อีกด้วยนะครับ ซึ่งจะคล้ายกับภาษาอังกฤษ ยังมีคำสุภาพและคำไม่สุภาพ อีกนะครับ คำไม่สุภาพส่วนมากจะใช้กับเพื่อน ๆ ครับ

          รูปประโยคของภาษาญี่ปุ่น บางประโยค ก็เอาคำกริยาไปอยู่ท้ายสุดของประโยค รูปประโยคในภาษาญี่ปุ่น ก็ยาวมาก ๆ ครับ เรียกได้ว่า พูดจบประโยคเล่นเอาเหนื่อยกันเลยทีเดียว

          แต่ไม่ว่าจะเรียนภาษาอะไรก็ตาม สำคัญคือ อยู่ที่การใช้ครับ ถ้าเรียนแล้วมีโอกาสได้ใช้บ่อย ๆ ผมว่าจากคำว่า "ยาก" อาจจะกลายเป็นคำว่า "ง่าย" ก็ได้ครับ เพราะภาคปฏิบัติจริง ย่อมดีกว่าภาคทฤษฎี อยู่แล้วครับ


วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ีรีวิว ทริปเที่ยว กาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน # Day 3่


          หลังจากที่ผมได้ออกจาก "สวนไทรโยค รีสอร์ท" (จากตอนที่แล้ว ที่ผมไปทำกิจกรรมมานะครับ สามารถหาอ่านได้จากตอน "ทริปกาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน # Day 2 นะครับ) ผมได้ตรงกลับที่พักทันที เพื่อไปเล่นน้ำที่สระของทางที่พัก

          ผมลืมเล่าไปครับ อาหารที่ผมรับประทานระหว่างไปเที่ยว ถ้าเป็นช่วงกลางวัน ผมก็จะรับประทานตามร้านข้างทางทั่วไปนะครับ แบบที่ว่า หิวเมื่อไหร่ เจอร้านไหนที่พอน่าสนใจ ก็แวะเลย ดังนั้นผมจึงไม่มีรีวิวอาหารกลางวันมานะครับ ต้องขออภัยด้วยครับ

          ส่วนอาหารเย็น ผมจะอาศัยทานที่ในรีสอร์ทครับ โดยในเย็นวันแรก ผมทานในรีสอร์ท ก็จะสั่งเป็นกับมาทานกับข้าว ทานกัน 10 กว่าคน ออกมา 2,400 กว่าบาท ราคาค่อนข้างสูงนิดครับ เย็นวันที่ 2 ผมปรึกษากับน้องชายผม ก็มีความเห็นว่า น่าจะลองออกไปหาอะไรทานกันข้างนอกดีกว่า เผื่อคนอื่นอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

          แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ไปครับ เนื่องจากเล่นน้ำในสระเพลิน แล้วตอนจะไปก็หาคนขับรถไม่เจอ ก็เลยต้องทานในรีสอร์ทอีก 1 วัน รอบนี้ผมเลยเสนอทานแยกเป็นจานเดี่ยว เพราะดูจากราคาแล้ว น่าจะถูกกว่า สรุปออกมาถูกกว่าจริง ๆ ครับ ทาน 10 กว่าคนเหมือนเดิม ออกมาแค่ 1,200 กว่าบาทเองครับ ถูกกว่าตั้งครึ่งหนึ่ง ถ้าใครจะไป ผมแนะนำให้ทานแบบจานเดี่ยวดีกว่าครับ

          หลังจากนอนพักผ่อนด้วยความเหนื่อยล้า ตื่นเช้ามาก็รับประทานอาหารเช้า ก่อนจะเช็คเอ้าท์ ออกจากรีสอร์ท อาหารเช้าในวันที่ 3 ไลน์อาหารก็จะเหมือนกับวันที่ 2 ครับ ทานเสร็จประมาณ 10 โมงเช้า ผมก็เตรียมเช็คเอ้าท์ออกครับ ที่ออกเร็วเพราะว่าตอนแรกกะว่าจะได้ไปหลายที่ และคนที่ไปด้วยกันกับผม เค้าก็ไม่อยากกลับถึงบ้านกันดึก

          เช็คเอ้าท์ออกจากรีสอร์ท สถานที่แรกที่ผมไปก็คือ "ช่องเขาขาด" ซึ่งผมเคยไปมาแล้ว แต่ให้ไปอีกผมก็ไม่ขัดครับ ตอนที่ผมมาครั้งที่แล้ว ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง แต่สามารถเข้าชมได้บางส่วน แต่มาคราวนี้ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ได้สร้างเสร็จแล้ว

          ผมได้ลงไปเดินที่ด้านล่างก่อน เพื่อพาทั้งกรุ๊ปไปเดินดูที่มาของชื่อ "ช่องเขาขาด" ถึงแม้อากาศด้านบนค่อนข้างจะร้อน แต่ด้านล่างกับไม่ร้อน

ด้านหน้าทางเข้าช่องเขาขาด


ภายในบริเวณช่องเขาขาด

แผ่นป้ายรำลึกถึงเชลยศึก

รางรถไฟทีใช้ในการขนส่งเครื่องมือ


          ช่องเขาขาด นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของ กาญจนบุรี แล้ว ยังเป็นสถานที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ดีอีกที่หนึ่ง โดยเราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเชลยศึกที่มาสร้างทางรถไฟเพื่อไปยังประเทศพม่า จำนวนเชลยที่สูญเสียไปกับการสร้างทางรถไฟสายนี้ และยังมีร่องรอยของรางรถไฟหลงเหลืออยู่

          ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ สร้างได้อย่างสวยงาม แต่ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาติให้นำอาหารหรือน้ำ เข้ามานะครับ มีการแบ่งเป็นห้อง ๆ ไว้อย่างชัดเจน มีห้องฉายสไลด์ภาพของเชลยศึก ครั้งที่มาสร้างทางรถไฟสายมรณะ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

          อีกทั้งยังมี โมเดลจำลอง เส้นทางการสร้างทางรถไฟ จากประเทศไทย ไป ประเทศพม่า เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างทางรถไฟ หุ่นจำลองเชลยที่มีรูปร่างผอมโซที่กำลังแบกขอนไม้รางรถไฟ หรืออาหารที่เชลยได้รับในแต่ล่ะวัน ก็มีจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เช่นกัน

          ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีป้ายให้ความรู้ต่าง ๆ อีกมากมาย เพื่อให้ทราบถึงความโหดร้ายของสงคราม และความทุกข์ทรมานของเชลยศึก มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภูเขาของช่องเขาขาดได้ด้วยเช่นกัน

จุดชมวิว พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด


          ออกจากช่องเขาขาด ผมคิดว่าอยากจะแวะไหว้พระสัก 2 วัด เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนกลับเข้ากรุงเทพฯ แต่พอดูจากเวลาแล้ว ไม่น่าจะได้ไหว้ 2 วัด ผมจึงเลือก "วัดถ้ำเสือ" เพื่อขอพร ขอความเป็นสิริมงคล

บันไดทางขึ้นสู่วัดถ้ำเสือ


          ผมมาถึงวัดถ้ำเสือประมาณบ่าย 4 โมงเย็น แดดกำลังร้อนเลยครับ เบื้องหน้าผมคือ "บันได้ทางขึ้นสู่วัดถ้ำเสือ" ที่ค่อนข้างสูงและชัน จะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งขึ้นและฝั่งลง

          ความรู้สึกในตอนเดินขึ้นบันได ผมรู้สึกเหมือนเดินขึ้นบันได้ที่พระปรางค์ วัดอรุณฯ คือสูงและชันเหมือนกัน ต่างกันตรงบันได้ของวัดถ้ำเสือ ตรงช่วงระหว่างบันไดต่อบันได จะไม่สูงเหมือนกับที่ วัดอรุณฯ แต่เมื่อเดินขึ้นบันได้ไปถึงกลางทาง ผมลองมองกลับมาด้านหลัง ก็เสียว ๆ หวิว ๆ เช่นกันครับ

          สำหรับคนที่กลัวว่าจะเดินไม่ไหว หรือคนแก่ที่หัวเข่าไม่ค่อยดี ด้านข้างของบันได จะมีรถกระเช้าไว้ให้บริการ แต่จะเสียค่าบริการประมาณ 10 บาท

พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ไฮไลท์ของวัดถ้ำเสือ

          ด้านบนก็จะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่เป็นไฮไลท์ของวัดถ้ำเสือ วิวด้านหลังของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ จะเป็นทุ่งนา ถ้ามาในช่วงที่ต้นข้าวโต จะสวยงามมาก เพราะจะเขียวชะอุ่มไปด้วยนาข้าว แต่ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงหน้าร้อน ต้นข้าวได้ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว ทำให้วิวที่ผมอยากเห็นหายไปด้วย

          หลังจากที่ขอพรกับพระประธานองค์ใหญ่เสร็จแล้ว ด้านข้างจะมีอาคาร เพื่อนผมบอกว่า ข้างบนสุดของอาคาร จะมีพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่ ผมจึงไม่รอช้าที่จะไปสักการะบูชา

          ภายในตัวอาคารแต่ละชั้นจะมีภาพฝาผนัง เล่าเรื่องราวต่าง ๆ โดยในแต่ละชั้นจะเป็นการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนกันเลยสักชั้น มีทั้งเรื่องของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยอดีต ภาพพุทธประวัติ นรก สวรรค์ ก็มี ในแต่ละชั้นก็จะมีฆ้องในเราสามารถลูบได้ โดยมีความเชื่อว่า ถ้าลูบแล้ว จะมีเงิน มีทอง ร่ำรวย มีชื่อเสียง และมีความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง (ผมก็ลูบทุกชั้น อิอิ)

          ชั้นบนสุดก็จะเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ แต่กว่าจะไปถึงชั้นบนสุด ต้องผ่านบันได้วนที่ค่อนข้างแคบและเล็ก คือเดินได้คนเดียว ถ้าเดินสวนกันจะลำบากทันที จากชั้นล่างถึงพระบรมสารีริกธาตุ เดินขึ้นหลายชั้นเช่นกันนะครับ ผมไม่ได้นับว่ากี่ชั้น แต่น่าจะ 5 ชั้นขึ้นไปครับ

พระบรมสารีริกธาตุ


จุดไหว้ก่อนเดินลง

          ขาเดินลงกลับไปที่รถ เพื่อนผมแนะนำว่า ให้ลงอีกทาง่หนึ่ง ซึ่งจะเดินขึ้น เดินลง สะดวกว่าทางขึ้นตอนแรกที่ผมเดินขึ้นมา เพราะมันไม่ชัน แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีทางนี้ ทางลงนี้จะอยู่เลยจากพระประธานองค์ใหญ่ไปนิดหน่อยครับ จะอยู่ตรงข้ามกับตัวอาคารพระบรมสารีริกธาตุ

          ถ้าเดินลงมาเกือบถึงด้านล่างสุด จะมีเข้าสู่ตัวถ้ำ ภายในถ้ำจะมีพระพุทธรูป มีเจ้าแม่กวนอิม และปู่เจ้าสมิงพราย อยู่ด้วย (ผมเห็นปู่เจ้าสมิงพราย จึงเข้าใจว่า ชื่อวัดถ้ำเสือน่าจะมาจากท่าน) หลังจากแวะไหว้พระภายในถ้ำกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะกลับเข้าสู่กรุงเทพฯ แล้วครับ

          ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปแรกที่ผมได้ไปพักแบบ 3 วัน 2 คืน ทั้งสนุก ทั้งเหนื่อยครับ ไม่มีวันไหนที่เหงื่อจะไม่ท่วมตัวครับ กาญจนบุรี ร้อนมากครับ แต่ก็สนุกมากครับ ถ้าคุณผู้อ่านชอบ กด Like เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ คราวหน้าผมจะมารีวิวที่ไหนอีก ติดตามกันได้นะครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รีวิว ทริปท่องเที่ยว กาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน # Day 2


          ต่อจากตอนที่แล้วนะครับ ที่ผมได้รีวิว "เมืองมัลลิกา" ไป หลังจากที่ผมออกจากเมืองมัลลิกา ผมก็ได้ตรงสู่ที่พัก จากเมืองมัลลิกาไปที่พักที่ผมจองไว้ ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ที่พักที่ผมจะพักคือที่ "ผึ้งหวาน รีสอร์ท ไทรโยคน้อย" ครับ

ผึ้งหวาน รีสอร์ท ไทรโยคน้อย


          ผึ้งหวาน รีสอร์ท ในจังหวัดกาญจนบุรี จะมีอยู่ 2 ที่ นะครับ มีที่ไทรโยคใหญ่ จะอยู่ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว จากสะพานข้ามแม้น้ำแควมาไม่เกิน 5 กิโล ครับ กับอีกที่หนึ่ง คือ ที่ไทรโยคน้อย จะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟน้ำตก หรือว่า น้ำตกไทรโยคน้อย ก็ไม่เกิน 5 กิโล เช่นเดียวกัน

          คูปองของผม สามารถใช้ได้ทั้ง 2 ที่นะครับ แต่ที่ผมเลือกที่ ผึ้งหวาน รีสอร์ท ไทรโยคน้อย ก็เพราะว่า ผมเคยมาพักที่นี้แล้ว 1 ครั้ง และก็ติดใจในบรรยากาศที่เงียบสงบและกว้างขวางของทางรีก สอร์ท บวกกับที่นี่มีกิจกรรมให้ทำค่อนข้างหลากหลาย ทั้ง ล่องแพ ขับรถบักกี้ ขี่จักรยาน หรือว่า กิจกรรมนันทนาการ สำหรับคนที่มาเป็นหมู่คณะ หรือว่าทางบริษัทพามาเที่ยว และต้องการทำกิจกรรมนันทนาการ ทางผึ้งหวาน รีสอร์ท ไทรโยคน้อย เค้าก็มีให้บริการเช่นกันครับ

          ห้องพักที่ผมได้ในคราวนี้ จะแตกต่างจากเมื่อครั้งที่ผมมาครั้งที่แล้ว เนื่องจากว่า ช่วงที่ผมไปเป็นวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ทำให้มีคนมาพักกันเต็มรีสอร์ท ซึ่กงห้องพักที่ผมได้คราวนี้ เป็นห้องพัก "บัวคูบัว"

          สภาพห้องพัก บ้านคูบัว ค่อนข้างเก่า มียุงและแมลงค่อนข้างเยอะ แต่พอเปิดประตูไล่ยุง แมลง และเปิดแอร์ สักพัก ก็หายหมดครับ ห้องน้องผมมีไส้เดือน ออกมาเดินเล่นด้วยครับ ดีนะครับไม่มีตุ๊กแกด้วย ไม่งั้น กรี๊ด!! กันลั่นห้อง สภาพบรรยากาศรอบห้องพัก ก็จะร่มรื่น ต้นไม้เยอะ แต่บางทีก็เหมือนกับว่า กำลังอยู่ในป่าเช่นกัน

          ครั้งที่แล้วที่ผมมาพัก ได้เป็นแบบ อาคารริมน้ำ ห้องกว่างขวาง บรรยากาศดีมาก เปิดระเบียงด้านหลังออกไป ก็จะเห็นวิวแม่น้ำไทรโยคน้อย นั่งดูแม่น้ำไทรโยคน้อยไหล พาทำให้จิตใจสงบดีครับ โดยรวมแล้ว ผมชอบอาคารริมน้ำมากกว่า (ห้องพักที่อาคารริมน้ำ ก็ได้รับการปรับปรุงแล้ว น่าไปพักมาก ๆ ครับ)

          ผ่านคืนแรกไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ตื่นเช้ามา หลังจากแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ กันแล้ว ก็ได้เดินไปรับประทานอาหารเช้ากัน ข้อดีของบ้านคูบัว คือ อยู่ใกล้ที่รับประทานอาหารครับ ถ้าเป็นที่อาคารริมน้ำ จะเดินค่อนข้างไกลครับ อาหารเช้าของที่นี่ จะเป็นแบบ อเมริกันและไทย แต่เป็นบุฟเฟ่ต์ ให้เลือกกันได้ตามใจชอบเลยครับ

          อาหารหนัก อาหารเบา มีหมดครับ ทั้งข่าวผัด ต้มเลือดหมู หรือใครที่ชอบทานแบบอเมริกัน ก็มีไส้กรอก ไข่ดาว แฮม น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ก็มีนะครับ ปาท่องโก๋ ของที่นี่ อร่อย!! ครับ แป้งทำได้ค่อนข้างดี หรือจะเป็นแบบ คอนเฟล็ก นมสด สลัด ขนมปังปิ้งทาเนย ทาแยม ก็มีให้บริการเช่นกันครับ

          หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางท่องเที่ยวแล้วครับ ที่แรกที่พวกผมไปกันก็คือ "หมู่บ้านมอญ" ตรงไทรโยคนะครับ ไม่ใช่ที่สังขละบุรี หมู่บ้านมอญ ที่ไทรโยค จะอยู่เลยน้ำตกไทรโยคน้อยไปประมาณ 16 กิโล ได้ครับ สังเกตุป้ายที่เขียนว่า "ท่าเรือรีโซเทล" ซึ่งเราต้องไปลงเรือกันที่นี่ครับ

          จากถนนสายหลัก ไป ท่าเรือรีโซเทล ทางลงจะต้องระมัดระวังนะครับ เพราะเป็นทางลงเขา ถ้าขับเร็วอาจเกิดอันตรายได้ครับ เมื่อมาถึงแล้ว ก็ให้ไปติดต่อเรือกับทางร้านค้าได้เลยครับ มีเรือตลอด ค่าเรือไป - กลับ จะอยู่ที่ลำล่ะ 1,000 บาท ถ้าช่วงน้ำลง จะนั่งได้ ผู้ใหญ่ 6 คน ถ้าน้ำขึ้น ผู้ใหญ่ นั่ง 10 คน ก็ไม่มีปัญหาครับ

ลงเรือไปหมู่บ้านมอญกันครับ

เดอะ โฟลท์ เฮ้าส์ ริเวอร์แคว สวยดี น่าพัก

ทางเดินไปหมู่บ้านมอญ


          จากท่าเรือรีโซเทล ไป หมู่บ้านมอญ จะนั่งเรือไปประมาณ 15 นาที จะไปลงที่ แพ จังเกิ้ล ราฟท์ หมู่บ้านมอญ ก็จะอยู่ติดกับ แพ จังเกิ้ล ราฟท์ ครับ

          หมู่บ้านมอญ ค่อนข้างจะเงียบสงบดีครับ คือ ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวมา เค้าก็จะอยู่กันแบบวิถีชาวบ้าน ลักษณะบ้านมอญ ก็จะเป็นแบบบ้านชั้นเดียว พื้นที่โดยรอบก็โปร่ง ทำให้ผมนึกจิตนาการไปว่า ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาว คงจะหนาวน่าดูเชียว เพราะไม่มีสิ่งก่อสร้างอันใด มาบังลมเลย

          ภายในหมู่บ้านมอญ จะแบ่งเป็นส่วน ๆ มีทั้งส่วนที่เป็น โรงเรียน สนามฟุตบอล และวัด

ตัวอาคารเรียน

สนามเด็กเล่น ภายในโรงเรียน


          ในส่วนของโรงเรียนก็จะมีอาคารเรียน และ สนามเด็กเล่น ด้วย ตอนที่ผมไป นักเรียนไม่มีการเรียน แต่อาจารย์กำลังเปิดหนังการ์ตูนให้ดู

สนามฟุตบอล


          ในส่วนของสนามฟุตบอล ก็มีนะครับ แต่หญ้าไม่ค่อยมี เพราะโดนเจ้าถิ่นเล็มหญ้ากินหมด

วัดในหมู่บ้านมอญ


          ในส่วนของวัด จะแตกต่างกับที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน คือจะเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ดูทีแรกผมก็ไม่รู้ว่า เป็นวัด แต่เห็นมีคนนำของมาถวาย และมีพระเดินออกมา จึงทำให้รู้ว่าเป็นในส่วนของวัด



พระพุทธรูป ศิลปะมอญ

พระปรางค์มารวิชัย ด้านหลังเป็นเจดีย์ชเวดากอง จำลอง

พระปรางค์นาคปรก ศิลปะแบบมอญ
อ่างเก็บน้ำ


          ภายในบริเวณวัดก็จะมีองค์พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ซึ่งพระพุทธรูปของที่อื่น จะเป็นพระพุทธรูปองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นปรางค์ต่าง ๆ ศิลปะก็จะเป็นแบบมอญ จะมีเจดีย์ชเวดากอง แบบจำลองอยู่ด้วย

          จากหมู่บ้านมอญ ผมได้ไปเที่ยวทางรถไฟสายมรณะกันต่อ ซึ่งตอนที่ผมไปถึงเป็นช่วงเที่ยง ๆ อากาศร้อนมาก ๆ ถ้ำกระแซ และ ทางรถไฟสายมรณะ เปลี่ยนแปลงไปจากที่ผมมาครั้งแรกเยอะเลย ผมจำได้ว่าตอนที่ผมไปเที่ยวทางรถไฟสายมรณะครั้งแรก ผมได้เดินไปตามทางรถไฟ ระหว่างขอนรถไฟแต่ละอัน จะเป็นร่อง ๆ มองเห็นด้านล่าง ตอนเดินแรก ๆ ก็ไม่คิดอะไรครับ แต่เดินไป เดินมา ชักจะเสียวขึ้นมา (ผมเป็นคนกลัวความสูง)

          แต่ที่ผมไปมาในครั้งนี้ ตรงช่องระหว่างขอนไม้แต่ละอัน จะถูกปิดด้วยแผ่นเหล็ก และโรยกรวดทับอีกชั้น จะมีแค่บางช่วงเท่านั้นที่ยังเป็นช่อง พอจะมองเห็นด้านล่างอยู่ แม้จะเดินได้ง่ายขึ้น และไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อน แต่ในความรู้สึกผม รู้สึกว่า การเดินผจญภัยด้วยความตื่นเต้นบนขอนไม้รางรถไฟสายมรณะ มันได้หายไปอย่างสิ้นเชิง

          เมื่อมองลงไปที่ข้างล่างของทางรถไฟสายมรณะ จะเห็นวิวแม่น้ำไทรโยคน้อย ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่า อากาศที่ค่อนข้างร้อนและแล้งของเมืองไทย ทำให้แม่น้ำไทรโยคน้อย น้ำค่อนข้างน้อย ทัศนียภาพจึงอาจจะดูไม่สวยงามเหมือนที่ผมได้มาครั้งแรก ตอนที่ผมมาครั้งแรก น้ำในแม่น้ำไทรโยคน้อย ค่อนข้างเยอะ ทำให้ทัศนียภาพค่อนข้างสวยงาม ตราตรึงใจผมมาก ๆ

          ผมใช้เวลาอยู่ที่ถ้ำกระแซ และทางรถไฟสายมรณะไม่นานนัก เนื่องจากอากาศร้อนมาก จึงได้รีบไปที่ต่อไปกัน สถานที่ต่อไปที่ผมไปกัน ก็คือ "สวนไทรโยค" ผมกะว่าจะไปเล่นกิจกรรมกันที่นี่ กิจกรรมที่ผมจะไปเล่นก็คือ "ขับรถ ATV" ครับ

          แต่ต้องขอติที่นี่เลยครับ รถ ATV มีให้ขับค่อนข้างน้อย ผมเล่นกันประมาณ 7 คน แต่มีรถให้ขับเพียงแค่ 4 คัน ซึ่งน้อยมากถ้าเทียบกับขนาดของรีสอร์ทที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องไป 2 รอบ หลังจากขับรถ ATV เสร็จ ผมได้สอบถามทางเจ้าหน้าที่ว่า "จะสามารถล่องแพลอยคอได้ไหม" อันที่จริงก่อนผมจะไป ผมได้สอบถามกับทางเซลล์ของที่สวนไทรโยคแล้ว ซึ่งทางเซลล์เองก็บอกว่า กิจกรรมอื่นเล่นได้หมด ยกเว้นล่องแพลอยคอ เพราะรีสอร์ทถูกเหมา จะทำให้การล่องแพลอยคอ ไม่สะดวก เพราะต้องรอคอยนาน ทางผู้จัดการจึงไม่ให้ขายกิจกรรมนี้

          แต่ผมก็ลองไปถามที่หน้างานดู สรุปว่า เจ้าหน้าที่บอกว่าได้ แต่อาจต้องรอ 1 ชั่วโมง ทางผมเห็นว่า รอตั้ง 1 ชั่วโมง ค่อนข้างที่จะนานไปหน่อย จึงแจ้งว่า ไม่เอา ทางเจ้าหน้าที่เห็นว่า กรุ๊ปผมไม่เอา ก็บอกว่า "เดียวลองปรึกษากันดูอีกที" ท่านผู้อ่านคิดว่า จะได้ไหมครับ ให้ทายดูนะครับ

          สรุปคือ ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า "ได้" ครับ ทางผมก็ได้ทำการจ่ายเงินกันเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็บอกให้ลงไปรอทางด้านขวาล่าง เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะเดินตามลงไป ผมก็ลงไปกันแต่โดยดี รอสักระยะก็ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่มาเลย ผมกับน้องชายก็เดินขึ้นมาถาม เพราะเรือก็จะออกแล้ว

          พอผมเดินขึ้นมาถาม เจ้าหน้าที่บอกว่า "เจ้าหน้าที่เดินลงไปรอแล้วนะ แต่อยู่ทางด้านซ้ายล่าง" ซึ่งต่างจากที่บอกผมครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง ผมก็เดินลงไปดู ก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่มารอเลย ส่วนเรือก็ออกไปแล้ว ผมได้เดินขึ้นมาถามเจ้าหน้าที่คนเดิมอีกครั้ง และได้บอกด้วยว่า ไม่เจอเจ้าหน้าที่เลย และเรือก็ออกไปแล้ว เจ้าหน้าที่บอกให้ผมรออีก 1 ชั่วโมง เพราะเรือออกไปแล้ว ซึ่งทางผมก็คงไม่รออยู่แล้วครับ จึงได้ขอเงินคืน

          ที่ผมมาพิมพ์เล่าให้ฟัง ก็ไม่ได้คิดจะโจมตีหรือต่อว่า ทาง สวนไทรโยค รีสอร์ท นะครับ ผมเพียงแค่มาแชร์ประสบการณ์ที่ได้เจอมาให้กับคุณผู้อ่านทุกท่าน แต่กรุ๊ปผมก็ไม่ค่อยประทับใจกับเจ้าหน้าที่ของทาง สวนไทรโยค รีสอร์ท สักเท่าไหร่ครับ ถ้าคุณผู้อ่านไป ผมแนะนำให้ไปช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลดีกว่าครับ จะได้รับความรู้สึกดี ๆ กลับมา

          เมื่อไม่ได้เล่นน้ำตามอย่างที่หวังไว้ ผมก็เลบกลับรีสอร์ท และไปเล่นน้ำในสระของทาง ผึ้งหวาน รีสอร์ท บอกเลยครับว่า สนุกเช่นเดียวกัน มีทั้งอ่างจากุซชี่ และสระว่ายน้ำ สไลเดอร์ก็มีนะครับ สไลเดอร์ถือเป็นไฮไลท์ที่ถูกอกถูกใจของเด็ก ๆ เลยครับ

          ตอนหน้าจะมาต่อวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันกลับเข้าสู่ กรุงเทพฯ และผมจะไปเที่ยวไหนบ้าง ติดตามกันได้นะครับ